Page 74 - ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา หน่วยที่ 9
P. 74

9-64 ทฤษฎีและแนวปฏิบัติในการบริหารการศึกษา

ได้ค​ ัดเ​ลือกบ​ ุคคลท​ ั้งส​ องก​ ลุ่มท​ ี่ม​ ีพ​ ื้นฐ​ านด​ ้านค​ วามร​ ู้ ทักษะ ประสบการณ์ใ​นก​ ารท​ ำ�งานเ​ท่าก​ ัน (Mc Cleland
หมายร​ วมถ​ งึ I.Q. หรือเ​ชาวนป์​ ญั ญาด​ ว้ ย) แตม่​ ผ​ี ลส​ ำ�เรจ็ ใ​นง​ านแ​ ตกต​ า่ งก​ นั คือเ​ปน็ พ​ วก Average Performer
และ Superior Performer ผลก​ าร​ศึกษา​และเ​ก็บข​ ้อมูลจ​ าก​การส​ ัมภาษณ์​ถึง​พฤติกรรม​ในก​ ารท​ ำ�งานข​ อง​เจ้า​
หน้าที่​การท​ ูตท​ ั้ง​สองก​ ลุ่ม จากต​ ัวเ​จ้าห​ น้าที่​การท​ ูต​เองแ​ ละ​ผู้​บริหารร​ ะดับ​สูงห​ รือ​ผู้เ​กี่ยวข้อง เขาไ​ด้​สรุปว​ ่าการ​
ที่ค​ น​ทั้ง​สองก​ ลุ่ม​แม้ม​ ีค​ วามร​ ู้ (knowledge) ทักษะ และป​ ระสบการณ์ (skills) และ​เชาวน์​ปัญญา (I.Q.) ที่​เท่า​
กัน แต่​ไม่​สามารถ​ประสบ​ความ​สำ�เร็จ​ใน​งาน​ที่เ​ท่าก​ ัน​ได้น​ ั้น เพราะ​มี​ปัจจัย​อื่นๆ ที่ซ​ ่อน​อยู่ใ​นต​ ัว​บุคคลน​ ั้น ที​่
เขาเ​รียกว​ ่า สมรรถนะ​ซึ่งป​ ระกอบ​ด้วยภ​ าพล​ ักษณ์ส​ ่วนต​ ัว (self-image) บทบาท​ทางส​ ังคมห​ รือค​ วามค​ าดห​ วัง​
จากส​ ังคม (Social role) อุปนิสัยส​ ่วน​ตัว (traits) และ​แรง​ขับจ​ ากภ​ ายใน​ตัว​บุคคล (motive) ที่​ทำ�ให้​บุคคล​
นั้นม​ ี​พฤติกรรม​ที่​แสดงออกม​ าจ​ นป​ ระสบ​ความส​ ำ�เร็จ​สูงก​ ว่า​คน​อื่นห​ รือ​สูงก​ ว่า​เกณฑ์​ปกติ (Mc Cleland ได้​
ทำ�การ​ศึกษา​เรื่อง​แรง​จูงใจ (motive) และ​สรุป​ว่าค​ นเ​รา​มีแ​ รงจ​ ูงใจ​อยู่ 3 ประเภท คือ แรง​จูงใจใ​ฝ่ส​ ัมฤทธิ์ แรง​
จูงใจใ​ฝส​่ มั พันธแ​์ ละแ​ รงจ​ ูงใจใ​ฝอ่​ �ำ นาจ ในก​ รณน​ี ี้ Mc Cleland ใชเ​้ รือ่ งแ​ รงจ​ งู ใจใ​ฝส่​ ัมฤทธมิ์​ าใ​ชเ้​ปน็ ค​ �ำ ​อธบิ าย​
พฤติกรรมใ​น​การ​ทำ�งานข​ อง​คนว​ ่า​จะ​เป็นแ​ รง​ขับ (drive) ให้​บุคคล​ทำ�งานเ​พื่อส​ ู่​ความ​สำ�เร็จ)

       จาก​ผล​การ​ศึกษา​ดัง​กล่าว Mc Cleland ได้​เสนอ​ผล​งาน​ของ​เขา​ไว้ บทความ​เรื่อง “Testing For
Competency Rather Than Intelligence” โดยส​ รุปค​ ือ เขาเ​ห็นว​ ่าใ​นก​ ารท​ ดสอบ/คัดเ​ลือกบ​ ุคคลเ​พื่อค​ วาม​
สำ�เร็จข​ องง​ านน​ ั้น​จะใ​ช้ก​ ารว​ ัด​ความร​ ู้ ทักษะ และเ​ชาวน์ป​ ัญญา (I.Q.) คงไ​ม่​เพียงพ​ อที่จ​ ะป​ ระกันค​ วาม​สำ�เร็จ​
ใน​งาน​ได้ ต้อง​วัด​และ​ประเมิน​องค์​ประกอบ​ของ​การ​แสดงออก​ทาง​พฤติกรรม​ใน​การ​ทำ�งาน​ของ​คน​ที่ซ​ ่อน​อยู่​
ภายใน​ตัวบ​ ุคคล อัน​ประกอบด​ ้วย ภาพล​ ักษณ์ส​ ่วนต​ ัว บทบาทท​ างส​ ังคม อุปนิสัยแ​ ละแ​ รง​จูงใจ​ประกอบด​ ้วย
เขาจ​ ึงไ​ดเ้​สนอแ​ บบท​ ดสอบว​ ัดพ​ ฤติกรรมใ​นก​ ารท​ ำ�งานข​ องค​ นเ​พื่อใ​ชค้​ ัดเ​ลือกเ​จ้าห​ น้าทีก่​ ารท​ ูตใ​หม่ จากเ​ดิมท​ ี​่
ใช้​เพียง​การ​วัด​เชาวน์ป​ ัญญา (I.Q.) และค​ วาม​ถนัดท​ างว​ ิชาชีพเ​ท่านั้น แนวคิดแ​ ละผ​ ลง​ านข​ อง Mc Cleland
นัก​วิชาการ​ใน​รุ่น​ต่อๆ มา​ได้​นำ�​มา​เป็น​ฐาน​ใน​ความ​คิด​และ​คำ�​นิยาม​ของ “สมรรถนะ” ใน​ช่วง​หลัง​ต่อ​มา​อีก​
เป็นจ​ ำ�นวนม​ าก

       แนวคิด​เรื่อง​สมรรถนะ​ของ Mc Cleland ได้​มี​การนำ�​มา​ใช้​ใน​การ​บริหาร​จัดการ​โดย​เฉพาะ​อย่าง​
ยิ่ง​ใน​การ​บริหาร​เกี่ยว​กับ​บุคคล​และ​ทรัพยากร​มนุษย์​ใน​องค์การ โดย​มี​การนำ�​มา​ประยุกต์​ใช้​เป็น​เทคนิค​วิธี​
การใ​หม่ๆ เช่น บริหารส​ มรรถนะ การ​บริหารส​ มรรถนะ ทรัพยากร​บุคคลแ​ ละก​ ารบ​ ริหาร​สมรรถนะ​ทรัพยากร​
มนุษย์ เป็นต้น โดยอ​ ยู่บ​ นร​ ากฐานข​ อง สมรรถนะต​ ามแ​ นวคิดข​ อง Mc Cleland และ​มีก​ ารนำ�​ไปเ​ชื่อมโ​ยงห​ รือ​
ประยกุ ตใ์​ชใ​้ นก​ ารบ​ รหิ ารง​ านท​ รพั ยากรบ​ คุ คลใ​นล​ กั ษณะต​ า่ งๆ อยา่ งก​ วา้ งข​ วาง เชน่ การค​ ดั เ​ลอื กพ​ นกั งาน การ​
ประเมินผ​ ล การป​ ฏิบัตงิ​ านแ​ ละก​ ารพ​ ัฒนาบ​ ุคลากร เป็นต้น โดยเ​ชื่อมโ​ยงเ​ข้าก​ ับง​ านบ​ ริหารง​ านด​ ้านบ​ ุคคลข​ อง​
องค์การห​ รือห​ น่วยง​ าน จน​กลาย​เป็นการบ​ ริหาร​สมรรถนะ​เกี่ยว​กับบ​ ุคลากรใ​น​ชื่อเ​รียกต​ ่างๆ ใน​ปัจจุบัน และ​
ในอ​ นาคตม​ ีแ​ นวโ​น้มท​ ี่จ​ ะน​ ำ�​แนวคิดเ​รื่องส​ มรรถนะไ​ปใ​ช้ใ​นด​ ้านอ​ ื่นๆ ด้วย เช่น นวัตกรรมแ​ ละเ​ทคโนโลยีด​ ้าน​
โครงสร้าง​และ​ระบบ​งาน ด้าน​ระบบเ​ครือ​ข่ายแ​ ละล​ ูกค้า ฯลฯ

       ธุรกิจ​เอกชน​ได้​นำ�​การ​บริหาร​สมรรถนะ​มา​ใช้​แล้ว​ใน​ระยะ​เวลา​นาน​พอ​สมควร โดย​เฉพาะ​ธุรกิจ​
ข้ามช​ าติแ​ ละอ​ งค์การ​ขนาดใ​หญ่ สำ�หรับอ​ งค์การภ​ าค​รัฐ สำ�นักงาน ก.พ. ได้น​ ำ�​การบ​ ริหารส​ มรรถนะ​มา​ใช้ใ​น​
การ​บริหารท​ รัพยากร​บุคคล​บาง​ส่วน ได้แก่ ส่วนท​ ี่เ​กี่ยว​กับ​การ​จำ�แนกต​ ำ�แหน่ง​และ​ค่า​ตอบแทนข​ องร​ าชการ​
   69   70   71   72   73   74   75   76   77   78   79