Page 46 - ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร
P. 46

๑๒-36 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร
       ๕. 	ซ�้ำค�ำค�ำเดียวกัน ลักษณะการใช้ภาษาเช่นนี้เพ่ือเน้นย้�ำความหมายของค�ำดังกล่าว เช่น

ในเรอื่ งมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์มัทรี ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เล่นค�ำว่า “สุด” เพ่ือส่ือความว่า
พระนางมทั รไี ดพ้ ยายามทกุ วถิ ที างแลว้ แตส่ ดุ วสิ ยั ทจ่ี ะคน้ หาพระโอรสชาลแี ละพระธดิ ากณั หาทหี่ ายไปจาก
อาศรมได้ (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๔, น. ๓๑) ดัง

         “...พระพายร�ำเพยพัดมารี่เร่ือยอยู่เฉื่อยฉิว อกแม่น้ีให้อ่อนหิวสุดละห้อย ทั้งดาวเดือนก็
  เคลอ่ื นคลอ้ ยลงลบั ไม้ สดุ ทแี่ มจ่ ะตดิ ตามเจา้ ไปในยามน้ี ฝงู ลงิ คา่ งบา่ งชะนที นี่ อนหลบั กก็ ลง้ิ กลบั เกลอื ก
  ตัวอยู่ย้ัวเย้ีย ทั้งนกหกก็งัวเงียเหงาเงียบทุกรวงรัง แต่แม่เท่ียวเซซังเสาะแสวงทุกแห่งห้องหิมเวศ
  ทั่วประเทศทุกราวป่า สุดสายนัยนาท่ีแม่จะตามไปเล็งแล สุดโสตแล้วท่ีแม่จะซับทราบฟังส�ำเนียง
  สุดสุรเสียงท่ีแม่จะร่�ำเรียกพิไรร้อง สุดฝีเท้าท่ีแม่จะเยื้องย่องยกย่างลงเหยียบดิน ก็สุดสิ้นสุดปัญญา
  สุดหาสุดค้นเห็นสุดคิด จะได้พานพบประสบรอยพระลูกน้อยแต่สักนิดไม่มีเลย จ่ึงตรัสว่าเจ้าดวง
  มณฑาทอง ทงั้ คขู่ องแมเ่ อ๋ย หรอื วา่ เจ้าท้ิงขว้างวางจิตไปเกิดอืน่ เหมือนแม่ฝันเมอ่ื คนื นแ้ี ลว้ แล”

       ๖. 	ใช้ค�ำหลาก การเล่นค�ำหลากแสดงความรู้ของกวีในเรื่องค�ำท่ีมีรูปค�ำต่างๆ แต่มีความหมาย
เหมอื นกนั และนำ� มาสรา้ งสรรคผ์ ลงานไดอ้ ยา่ งมศี ลิ ปะ เชน่ ในเรอ่ื งลิลิตตะเลงพ่าย (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร,
๒๕๐๓, น. ๘๓-๘๔) กวบี รรยายการจดั ทพั ของฝา่ ยพระมหาอปุ ราชาโดยใชค้ ำ� ตา่ งๆ ทมี่ คี วามหมายวา่ ชา้ ง
ได้แก่ ค�ำ “คช” “มาตงค์” “คชา” “กญุ ชร” “ไอยรา” และ “พลาย” โดยทใี่ ชค้ ำ� แต่ละคำ� ในการเลน่ สัมผสั
หรือรบั สัมผสั ไดอ้ ยา่ งไพเราะ ดงั นี้

         “...จัดเป็นส่ีสิบเก้าทัพ ล�ำดับดูดาษดา ธให้พระยาจิดตอง พลหม่ืนสองพันตน เป็นขุนพล
  ทัพน�ำ ข่ีประจ�ำคชคง นามมาตงค์ยุมาตาง มางนันทมิตรปีกขวา ขค่ี ชาปลอกหะละ กะพลให้ส่ีพัน
  ปกี ซา้ ยปนั ทวยทพั นบั เทา่ กนั ไตรตรา มหานรธาเปน็ ขนุ ขกี่ ญุ ชรเนยี บพยหู่ ์ ผทู้ พั แซงฝา่ ยขวา โยธา
  พนั หา้ รอ้ ย คะคอ้ ยปอ้ งรปิ ู มางธนลู กั ขยา ขไี่ อยรามรดั คาน เปน็ ขนุ หาญหวั ทพั แซงซา้ ยนบั หนงึ่ ขวา
  ผเู้ ปน็ นายกไสร้ ใหม้ างธนูเดชะ ยกพยหุ ะออกยอ ขพ่ี ลายกลอรายชวา ...”

       ๗. 	ใช้ค�ำอัพภาส หมายถึง การซ�้ำคำ� โดยแปลงรูปคำ� แรกใหเ้ ป็นเสียงอะ ท�ำให้เกดิ จังหวะของคำ�
ที่มีน�้ำหนักต่างกัน พยางค์แรกจะเป็นเสียงเบา ส่วนพยางค์หลังเป็นเสียงหนัก เช่น “คร้ืนคร้ืน” เป็น
“คะครื้น” “ฉาดฉาด” เป็น “ฉะฉาด” “ถงั่ ถั่ง” เป็น “ถะถง่ั ” “พรายพราย” เปน็ “พะพราย” “ยมิ้ ยิ้ม”
เป็น “ยะยิ้ม” “วาบวาบ” เป็น “วะวาบ”

       ๘. 	คิดค�ำใหม่ข้ึนใช้แทนค�ำเดิม เช่น ในเรื่องสมุทรโฆษค�ำฉันท์ ส�ำนวนท่ีแต่งในสมัยอยุธยา
กวคี ดิ คำ� ใหมข่ น้ึ ใชเ้ รยี กปลาเนอื้ ออ่ น ไดแ้ ก่ คำ� วา่ (ปลา) “มางสออ่ น” และเรยี กปลาหางไกโ่ ดยใชค้ ำ� ใหมว่ า่
“ชิวหกุกกุร” ดังปรากฏในข้อความท่ีพระสมุทรโฆษพาพระนางพินทุมดีชมสัตว์ต่างๆ ในสระอโนดาต
(กรมศิลปากร, ๒๕๓๐, น. ๒๓๓) ดังน้ี
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51