Page 78 - รำ เล่น เพลง นิทาน สืบสานศิลป์ไทย
P. 78
68
ร�ำ เล่น เพลง นิทาน สืบสานศิลป์ไทย
ความเปน็ มาลำ� ตดั มคี วามเปน็ มาจากการตกี ลองรำ� มะนาสวดสรรเสรญิ พระเจา้
ในศาสนาอสิ ลามในจังหวดั ปตั ตานี มกี ารร้องเล่นมาแตด่ ัง้ เดมิ มชี ือ่ เรียกว่า “ลเิ กฮลู ”ู ซงึ่
เป็นต้นแบบของล�ำตัด ภายหลังมีการอพยพโยกย้ายชาวไทยอิสลามทางภาคใต้เข้ามา
อยู่ในกรุงเทพมหานครราว สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการสวดประกอบการตีร�ำมะนาเรียกว่า
“การสวดดิเก” จนกระท่ังเรียกเพี้ยนไปว่า “ลิเก” และในเวลาต่อมาได้พัฒนาเป็นการ
แสดงที่เป็นเรื่องเป็นราวและได้พัฒนาลิเกฮูลูมาเป็น “ลิเกล�ำตัด” ซึ่งเป็นการแสดงร้อง
โต้ตอบกัน ซักถามความรู้ เกี้ยวพาราสี เน้นสนุกสนานขบขัน โดยมีเนื้อความร้องว่ากัน
ไปว่ากันมา เดิมใช้ผู้ชายแสดงล้วน ต่อมามีผู้หญิงแสดงประชันกับฝ่ายชาย และต่อมา
พัฒนาเป็นล�ำตัดผัวเมียเล่นคณะเดียวกันเลย ไม่ต้องประชันกับคณะอื่น
อุปกรณ์ประกอบการแสดงล�ำตัด มีกลองร�ำมะนาล�ำตัด ๔ - ๑๒ ใบ (ปัจจุบัน
ใช้ประมาณ ๔ ใบ) และกรับไม้
ตัวอย่างบทร้องล�ำตัด
ร้องเข้าบทยาว
ว่ายืนน้ีเป็นยืนสองผู้ชายเขาร้องเกี้ยวมา หรือว่าเป็นเสียงหมามันเห่าเข้าไปในหู
เป็นเสียงหมาหรือเสียงคนปนกันฟังไม่ออก ขอให้เธอช่วยบอกให้ฉันน่ีได้รู้
เสียงคล้ายพ่อเพชรร้องเอ็ดหมาล่ัน ดูอีแดงมันตัวส่ันแต่ยังเห่าสู้
อีเขียวก็มาเร้าเราไปช่วยไล่ เด๋ียวพวกผู้ชายเขาจะไม่มาสู่
(ลง) จะมาร้ายมาดีฉันไม่หนีไปไหน ขอให้เป็นผู้ชายจะกรีดกรายออกไปดู