Page 41 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 41

ความร้ดู ้านเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ 6-31
            1)	ตอ้ งลดวธิ กี ารผลติ ทางอตุ สาหกรรมทร่ี ะบายของเสยี และสารมพี ษิ ออกมาจำ� นวนมากมาย
            2)	เน้นหลักการพึ่งตนเองและความย่ังยืนยาวนาน โดยใช้ระบบการกระจายกิจกรรมทาง
เศรษฐกจิ
            3)	มีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ีทดแทนใหม่ได้ในปริมาณท่ีเหมาะสม และรู้จักอนุรักษ์
ทรัพยากรทไ่ี ม่สามารถหามาใหม่ได้
            4)	สง่ เสริมการโยกยา้ ยรายได้ ทรัพยากร ปจั จัยการผลติ จากกล่มุ ผมู้ งั่ มไี ปสกู่ ลมุ่ ผู้ยากไร้
            5)	มกี ารสรา้ งระบบการทำ� งานทมี่ ลี กั ษณะสรา้ งสรรค์และสร้างความพงึ พอใจแก่ผู้ท�ำงาน
            6)	การจดั การระบบเศรษฐกจิ บนพน้ื ฐานของการสรา้ งองคก์ รแบบสหกรณ์ และใชเ้ ทคโนโลยี
แบบใหมท่ ่ีสอดคล้องกบั การอนุรกั ษธ์ รรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล้อม
            7)	การจัดการทางระบบเศรษฐกิจใหม่ต้องตอบสนองความต้องการท่ีประสานกับความสุข
ของสงั คมโดยไมล่ ะเลยสงิ่ แวดลอ้ ม เพอ่ื ใหไ้ ดผ้ ลผลติ มวลรวมของชาตทิ พ่ี งึ อยไู่ ด้ และธรรมชาตสิ งิ่ แวดลอ้ ม
ก็ยังคงอยกู่ บั สังคมโลกตอ่ ไป
            8)	ระดบั การผลติ สนิ คา้ ใหเ้ พยี งพอกบั ประชากรทเ่ี พมิ่ ขน้ึ ตน้ ทนุ แรงงานควรอยใู่ นระดบั เพยี งพอ
มิฉะนนั้ จะส่งผลตามมาคอื อัตราว่างงาน
       สงิ่ แวดลอ้ มจะคงอยไู่ ดถ้ า้ ประชากรเพมิ่ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ดงั รปู แบบการพฒั นาทสี่ อดคลอ้ งประสาน
ระหว่างประชากร เศรษฐกิจและสงิ่ แวดล้อม

2. 	 แนวคิดเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ

       ในทางเศรษฐศาสตร์มักจะถือว่าค่าความพอใจของผู้บริโภคเป็นสิ่งส�ำคัญ ในขณะท่ีบทบาทของ
พทุ ธศาสนาเปน็ การเสรมิ ความพอใจและประโยชนข์ องแตล่ ะบคุ คลดว้ ยมติ ทิ างดา้ นคณุ ธรรม สำ� หรบั แนวคดิ
เก่ียวกับความมีเหตุผลเป็นแนวคิดท่ีนักเศรษฐศาสตร์จ�ำนวนมากน�ำมาใช้ในการอธิบายประกอบการ
วิเคราะห์เรื่องปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงข้อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ท่ีกล่าวว่ามนุษย์มีเหตุผล
“มคี วามหมายอยา่ งแคบวา่ มนษุ ยย์ อ่ มทำ� ทกุ อยา่ งเพอ่ื มงุ่ ประโยชนข์ องตวั เอง” ไมน่ า่ ทจ่ี ะตรงกบั ความหมาย
ของ rationality (ความมเี หตแุ ละผล) อย่างแทจ้ รงิ

       การแกป้ ญั หาดา้ นจรยิ ธรรมหรอื การสง่ เสรมิ ใหม้ จี รยิ ธรรมจะเกดิ ขนึ้ ไดต้ อ้ งมคี วามเขา้ ใจในสาเหตุ
ของปัญหาให้ลึกและแก้ไขให้ครบวงจร คือ ต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงสิ่งที่ไม่ดี ให้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดี ท่ี
เป็นตัวก�ำหนดบทบาท เป็นแรงจูงใจให้คนเรากระท�ำ  หรือแสดงออกไป เพราะอะไรท�ำไมถึงท�ำอย่างนั้น
ยกตัวอยา่ ง ท�ำไมคนไทยจึงทำ� งานเป็นทีมไมไ่ ด้ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต) (2554) อธบิ ายว่า
ปญั หาการทำ� งานเปน็ ทีมไมไ่ ด้ของคนไทยมีความสัมพันธก์ บั ลกั ษณะนสิ ัยของคนไทย จากคำ� สอนในอดตี
ทว่ี า่ “ใหม้ มี านะอดทนรำ�่ เรยี นใหส้ งู ตอ่ ไปจะไดเ้ ปน็ เจา้ คนนายคน” ซงึ่ สะทอ้ นถงึ ลกั ษณะนสิ ยั ของคนไทย
เป็นผู้มี “มานะ” แปลว่า ความถือตัว ถือตน ดังนั้นตัวท่ีจูงใจและบงการบทบาทให้คนเกิดความอดทน
พากเพียร คือ ตวั มานะเพอ่ื ทีจ่ ะไดเ้ ป็นเจ้าคนนายคน ในทางพทุ ธศาสนาถอื วา่ มานะ เปน็ ตัวกเิ ลสใหญ่
มีอย่ดู ว้ ยกัน 3 ตวั คือ ตัณหา มานะ ทิฐซิ ึง่ เป็นตัวกเิ ลสท่กี ำ� หนดบทบาทของคน โดยให้ความหมายของ
คำ� ทงั้ 3 ค�ำต่อไปน้ี
   36   37   38   39   40   41   42   43   44   45   46