Page 15 - การวิจัยทางนิเทศศาสตร์
P. 15
การป ระยุกต์ใช้ผลการวิจัยท างนิเทศศาสตร์ 14-5
เร่ืองท่ี 14.1.1
ความห มายแ ละค วามส�ำ คญั ข องก ารประยุกต์ใชผ้ ลก ารวิจยั
ทางนเิ ทศศาสตร์
นับเนื่องจากก ารเปลี่ยนผ ่านของสังคมจากค ลื่นล ูกแ รกในยุคเกษตรกรรม มาสู่ค ลื่นล ูกที่ส องที่ว ิทยาศาสตร์
และหลักการใช้เหตุผลนำ�พาโลกเข้าสู่ยุคอารยธรรมอุตสาหกรรม มาถึงยุคปัจจุบันที่ อัลวิน ทอฟเลอร์ (2532)
นักอนาคตวิทยากล่าวว่า เป็นยุคแห่งอารยธรรมเทคโนโลยีข่าวสาร ด้วยพลังอำ�นาจแห่งเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่าง
รวดเร็ว ทำ�ให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับปัจเจกบุคคล และโครงสร้างทางสังคมอย่างที่ไม่เคยปรากฏ
ขึ้นมาก่อน คลังความรู้และข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ถูกจัดเก็บในรูปแบบดิจิทัล โลกเสมือนจริงมีความสำ�คัญและ
มีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโลกความจริง สารสนเทศมีคุณค่าและมูลค่ามากต่อการดำ�เนินชีวิต การเข้าถึงและเข้าใจ
ในสารสนเทศกำ�ลังกลายเป็นปัจจัยที่ 5 สารสนเทศที่มีความน่าเชื่อถือช่วยเตือนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำ�ลัง
เกิดขึ้น พร้อมทั้งพยากรณ์เหตุที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และช่วยชี้บอกแนวทางในการรับมือ สารสนเทศทั้งสิ้นเหล่านี้
จะเป็นสิ่งสำ�คัญยิ่งในยุคที่มนุษย์สร้างเครือข่ายเชื่อมโยงกันด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามากกว่าที่จะเป็นการสื่อสาร
ซึ่งหน้าอ ย่างที่เคยเป็นผ่านมา
สารสนเทศท ีม่ อี ยูม่ ากมายในเครือข ่ายอ ินเทอร์เน็ตน ั้นม คี วามน ่าเชื่อถ ือไดม้ ากน ้อยเพียงใด อาจเป็นค ำ�ถามท ี่
ไม่เคยถ ูกต ั้งในก ลุ่มผ ู้ท ีข่ าดค วามร ู้เท่าท ันในก ารใชส้ ื่อส มัยใหม่ การต ั้งค ำ�ถามเกี่ยวก ับท ี่มาข องค วามร ูน้ ั้นจ ะน ำ�พาไปส ู่
แสงสว่างแ ห่งป ัญญา หากไม่ตั้งคำ�ถามถึงที่มาข ้อมูลห รือค วามร ู้ท ี่เผยแ พร่อยู่นั้น ความร ู้ความจ ริงที่คลาดเคลื่อนอาจ
นำ�ความเสียห ายมาส ู่ผ ู้ที่น ำ�ข้อมูลหรือความรู้นั้นไปใช้ ซึ่งข ้อมูลแ ละค วามรู้มีแหล่งก ำ�เนิดท ี่ห ลากห ลาย ดังนี้
(1) ถามจ ากผู้รู้ เป็นว ิธีท ี่ง่ายที่สุด หากต ้องการร ู้เรื่องใดก็อาศัยก ารสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่าน ั้น
ก็จ ะได้ค วามร ู้ เช่น อยากร ู้ว่าป่วยไม่สบายเป็นโรคใดก ็ไปถามหมอ
(2) รู้จากประสบการณ์ในชีวิต ข้อมูลความรู้หลายครั้งถูกเรียบเรียงขึ้นจากประสบการณ์ของชีวิต ที่อาจ
เกิดจากความบังเอิญหรือความพยายามลองผิดลองถูกจนพบข้อสรุปบางประการ เช่น การเรียนรู้วิธีการเดินทางที่
รวดเร็วที่สุดอ าจบ ังเอิญพบเส้นท างใหม่ ๆ หรือเกิดจ ากก ารเรียนรู้การใช้ย านพ าหนะแ บบต่าง ๆ ที่เหมาะส มก ับสภาพ
การจ ราจร
(3) รู้จากขนบธรรมเนียม บรรทัดฐาน ประเพณี เป็นความรู้ที่เกิดจากการเรียนรู้สังเกตการกระทำ�ที่ปฏิบัติ
สืบต่อกันม า เช่น มนุษย์ถ ูกส อนให้ส ังเกตพ ฤติกรรมของสัตว์เพื่อพ ยากรณ์การเปลี่ยนแปลงข องส ภาพแ วดล้อม
(4) รู้จากวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการแสวงหาข้อมูล ความรู้ด้วยวิธีการที่เป็นระบบมีแบบแผน
เพื่อรวบรวมข ้อมูลแ ละต รวจสอบคำ�ตอบที่ค าดเดาไว้ก ่อนแ ล้วว่าถูกต้องหรือไม่
ก่อนนำ�ข้อมูลไปใช้ควรตั้งคำ�ถามถึงที่มาของข้อมูลเหล่านั้นว่ามีความน่าเชื่อถือเพียงใด สืบย้อนไปถึง
กระบวนการผ ลติ ข อ้ มลู ค วามร เู้ หลา่ น ัน้ ว า่ ผ า่ นก รรมวธิ เี ชน่ ไรม า เพือ่ ป ระเมนิ ว า่ ข อ้ มลู ค วามร เู้ หลา่ น ัน้ ม คี ณุ คา่ นา่ เชือ่ ถ อื
เพยี งพ อทีจ่ ะน ำ�ไปใชเ้ ปน็ ห างเสือก �ำ หนดท ศิ ทางก ารด �ำ เนนิ ช วี ติ แ ละธ รุ กจิ ห รอื ไม่ ซึง่ ในป จั จุบันม นุษยใ์หค้ วามเชือ่ ถ ือใน
ขอ้ มลู ค วามร ทู้ ถี่ กู ผ ลติ ข ึน้ จ ากก ระบวนการท างว ทิ ยาศาสตรท์ เี่ รยี กว า่ การว จิ ยั ซึง่ ห มายถ งึ การแ สวงหาค วามร ู้ ความจ รงิ
ด้วยว ิธีก ารท ี่เป็นร ะบบม ีเหตุม ีผ ลเชื่อถ ือได้ การว ิจัยน ี้เองน ับเป็นเครื่องม ือส ำ�คัญส ำ�หรับย ุคส ารสนเทศเพราะห มายถ ึง
แหลง่ ผ ลติ ข อ้ มลู ท นี่ า่ เชือ่ ถ อื ดงั น ัน้ ก ารเรยี นร วู้ ธิ กี ารว จิ ยั จ งึ ห มายถ งึ ก ารศ กึ ษาแ นวทางก ารผ ลติ ข อ้ มลู ค วามร ทู้ นี่ า่ เชือ่ ถ อื
และการฝึกฝนการนำ�ข้อมูลจ ากก ารวิจัยไปประยุกต์ใช้ให้เกิดป ระโยชน์ซ ึ่งเป็นท ักษะที่สำ�คัญอย่างย ิ่งในป ัจจุบัน