Page 37 - การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา
P. 37

12-27

เรอื่ งท่ี 12.3.2 ข้นั ตอนการวิเคราะหเ์ ส้นทาง

สาระสังเขป

       การวิเคราะห์เส้นทาง ผู้วิจัยเขียนกรอบแนวคิดเป็นแบบสมการโครงสร้าง (structural equation)
ลักษณะเป็นแผนภาพเส้นทาง (path diagram) นอกจากน้ันตัวแปรในเชิงทฤษฎีที่น�ำมาวิเคราะห์มักเป็น
ตัวแปรคุณลักษณะท่ีต้องอธิบายด้วยตัวบ่งช้ีที่เรียกว่า ตัวแปรแฝง (latent variable) ตัวบ่งชี้ในท่ีน้ีคือ
ตัวแปรสังเกตได้ (observe variable) ตัวแปรที่วัดได้โดยตรงก็เรียกว่า ตัวแปรสังเกตได้

       ผู้วิจัยท่ีใช้แนวคิดทฤษฎีท่ีเกี่ยวกับตัวแปรต่างกัน ก็อาจมีรูปแบบความสัมพันธ์ต่างกัน ส่วน
การวิเคราะห์จ�ำเป็นต้องใช้โปรแกรมทางสถิติข้ันสูงท่ีเป็นโปรแกรมสมการโครงสร้าง (structural equation
modeling) ได้แก่ โปรแกรม LISREL โปรแกรม AMOS และโปรแกรม Mplus เป็นต้น ในท่ีนี้จะใช้
การวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Mplus โปรแกรมสมการโครงสร้างเหล่านี้มีขั้นตอนท่ีส�ำคัญคล้ายคลึงกัน แต่มี
ความแตกตา่ งกนั ในรายละเอยี ดการวเิ คราะหแ์ ละคำ� สง่ั ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะห์ แตท่ กุ โปรแกรมกม็ ขี น้ั ตอนสำ� คญั
คล้ายกัน ดังน้ี

1.	 การศกึ ษาทบทวนทฤษฎีและงานวิจัยท่เี กยี่ วข้อง

       ผวู้ จิ ยั ตอ้ งคน้ ควา้ จากแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ตวั แปรใหม้ ากทสี่ ดุ ขนั้ ตอนนสี้ �ำคญั
ที่สุดในการวิเคราะห์เส้นทาง เพราะการได้มาซึ่งตัวแปรต้นหรือตัวแปรเหตุท่ีคาดว่าจะมีผลต่อตัวแปรตาม
ต้องมีแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร หรืองานวิจัยรองรับ จะท�ำให้สร้างโมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุ (path analysis)
ของการวจิ ยั ทถ่ี กู ตอ้ งเหมาะสม และการคน้ ควา้ จากแนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวจิ ยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ตวั แปรยงั ทำ� ให้
ทราบว่าตัวแปรเหล่าน้ันประกอบด้วยตัวบ่งช้ีใดบ้าง ควรสร้างหรือใช้เคร่ืองมือใดวัดตัวแปรเหล่านั้น

2.	 การสรา้ งโมเดลอทิ ธพิ ลเชิงสาเหตุ

       เม่ือศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องอย่างดีพอแล้ว จะสามารถน�ำตัวแปรต่าง ๆ ท่ี
เกยี่ วขอ้ งกบั การวจิ ยั มาพฒั นาเปน็ กรอบแนวคดิ ของการวจิ ยั และกำ� หนดใหเ้ ปน็ โมเดลการวจิ ยั โมเดลทพี่ ฒั นาขน้ึ
สามารถเขยี นในรูปสมการ แผนภาพ ทแ่ี สดงอิทธพิ ลของตัวแปรตน้ ทมี่ ีต่อตัวแปรตาม คา่ อทิ ธพิ ลนไี้ ด้มาจาก
การวิเคราะห์เชิงปริมาณจากข้อมูลกลุ่มตัวอย่างที่เก็บรวบรวมได้ ไม่ได้มาจากการทดลอง การพัฒนาโมเดล
เป็นไปตามหลักเหตุผลจึงไม่ใช่การพิสูจน์ความสัมพันธ์ท่ีแท้จริง ดังนั้นการศึกษาวิจัยในตัวแปรเดียวกัน
อาจพบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรท่ีมีรูปแบบต่างกันได้ข้ึนอยู่กับความสัมพันธ์เชิงสาเหตุที่ผู้วิจัยพัฒนา
จากทฤษฎีใด โมเดลอิทธิพลเชิงสาเหตุนิยมสร้างเป็นแผนภาพเส้นทางตัวแปรต้นท่ีคาดว่าจะมีผลต่อ
ตัวแปรตาม ตัวแปรต้นและตัวแปรตามอาจเป็นตัวแปรที่วัดได้โดยตรงไม่ต้องมีตัวบ่งช้ี เช่นตัวอย่างใน
ภาพที่ 12.32 ในเรื่องที่ 12.3.1 ส่วนตัวแปรต้นและตัวแปรตามท่ีเป็นตัวแปรแฝงท่ีต้องวัดจากตัวบ่งช้ี
   32   33   34   35   36   37   38   39   40   41   42