Page 30 - การรายงานข่าวและการบรรณาธิกร
P. 30
5-20 การรายงานขา่ วและการบรรณาธิกร
เป็นจ�ำเลยร่วมให้ร่วมรับผิดกับผู้ประพันธ์หรือผู้เขียนในฐานะเป็นตัวการ เช่น คดีเอกชนกรณีเจ้าหน้าที่
ของรัฐฟ้องบรรณาธิการและผู้อ่ืนร่วมเป็นตัวการในคดีอาญาความผิดฐานหมิ่นประมาท แม้ว่าคดีขึ้นสู่
ศาลแลว้ ภายหลงั ศาลอทุ ธรณจ์ ะพพิ ากษายนื ใหบ้ รรณาธกิ ารรว่ มรบั ผดิ เปน็ ตวั การกบั ผปู้ ระกนั กต็ าม เมอ่ื
พระราชบัญญัตจิ ดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 มผี ลบังคับใช้ บรรณาธิการหนงั สือพมิ พ์ซงึ่ ตกเปน็ จำ� เลยร่วม
กับผู้ประพันธ์ก่อนท่ีพระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์มีผลบังคับใช้ และอาจมีค�ำพิพากษาจ�ำคุก
บรรณาธิการหนังสือ ก่อนคดีถึงที่สุด บรรณาธิการได้ขอยื่นข้อต่อสู้ในช้ันศาลฏีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
คดีดังกล่าวศาลฏีกาจะพิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะถือว่าบรรณาธิการไม่ได้เป็นตัวการในการกระท�ำ
ความผิดร่วมกับผู้ประพันธ์ซ่ึงเดิมต้องรับผิดมีฐานะเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์จึงไม่เป็นความผิด
อกี ต่อไป บรรณาธิการจึงหลดุ พ้นจากการเปน็ ผู้กระทำ� ความผิดตามพระราชบญั ญัตจิ ดแจ้งการพมิ พ์ พ.ศ.
2550 เพราะพระราชบัญญัติฉบับนี้มิได้บัญญัติถึงให้บรรณาธิการต้องร่วมรับผิดในฐานะเป็นตัวการใน
ท�ำนองเดียวกันที่บัญญัติไว้ในมาตรา 48 พระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ. 2484 แต่ประการใด และ
พระราชบัญญัติฉบับนี้ถูกยกเลิกไปดังกล่าวข้างต้น จึงเป็นกรณีของกฎหมายที่บัญญัติขึ้นในภายหลังมิได้
บัญญัติให้การกระท�ำเช่นนั้นเป็นความผิดต่อไป เว้นแต่โจทก์จะพิสูจน์ได้ว่าบรรณาธิการมีส่วนร่วมกัน
กระท�ำความผิดหรือรู้เห็นเป็นใจอย่างชัดเจนกับจ�ำเลย ตามที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษแล้วแต่ข้อเท็จจริง
เป็นเร่ือง ๆ ไป”
ท้ังน้ี โดยอาศัยหลักกฎหมายตามท่ีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ว่า
“บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเม่ือได้กระท�ำการอันกฎหมายท่ีใช้ในขณะกระท�ำนั้น
บัญญัติเป็นความผิดและก�ำหนดโทษไว้ และโทษท่ีจะลงแก่ผู้กระท�ำความผิดน้ัน ต้องเป็นโทษที่บัญญัติ
ไว้ในกฎหมาย
ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง การกระท�ำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป ให้
ผู้ที่ได้กระท�ำการน้ันพ้นจากการเป็นผู้กระท�ำความผิด และถ้าได้มีค�ำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้
ถือว่าผู้น้ันไม่เคยต้องค�ำพิพากษาว่าได้กระท�ำความผิดน้ัน ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษน้ันสิ้นสุดลง”
ดงั ไดอ้ ธบิ ายขา้ งตน้ มาแลว้ วา่ ถา้ มบี ทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ใิ นภายหลงั และมสี าระสำ� คญั
ให้ยกเลิกกฎหมายเดิมเม่ือใด การกระท�ำเช่นน้ันตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเดิมดังเช่น พระราชบัญญัติ
พิมพ์ พ.ศ. 2484 ให้ถือว่าการกระท�ำใดตามที่กฎหมายบัญญัติถึงผู้น้ัน จะไม่เป็นความผิดต่อไป ให้ผู้ท่ีได้
กระท�ำการนั้นหลุดพ้นจากข้อกล่าวหา และถ้าได้มีค�ำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว ก็ให้ถือว่าผู้น้ัน
ไมเ่ คยตอ้ งคำ� พพิ ากษาวา่ ไดก้ ระทำ� ความผดิ นน้ั ถา้ ไดร้ บั โทษอยกู่ ใ็ หก้ ารลงโทษนนั้ สน้ิ สดุ ลงตามทบี่ ญั ญตั ไิ ว้
ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 วรรคสอง
“นบั แตน่ ไี้ ปหากความเสยี หายเกดิ ขนึ้ แกบ่ คุ คลใดอนั เกดิ จากการเสนอขา่ วหรอื แสดงความคดิ เหน็
ของหนังสือพิมพ์ไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญา เช่น ความผิดฐานหม่ินประมาทก็ดี ความผิดทางแพ่ง
เช่น ความผิดฐานละเมิดก็ดี ผู้เสนอข่าว ผู้เขียนข่าว ผู้เขียนบทความแสดงความคิดเห็นหรือวิเคราะห์
หรือวิจารณ์หากกล่าวพาดพิงถึงบุคคลใดให้เสียหายตามที่กฎหมายใดบัญญัติไว้ ผู้น้ันจะต้องรับผิดชอบ
ทางกฎหมายต่อการกระท�ำนั้นเป็นการเฉพาะบุคคล ส่วนบรรณาธิการไม่ต้องร่วมรับผิดชอบในฐานะ