Page 29 - การรายงานข่าวและการบรรณาธิกร
P. 29
การรายงานขา่ วกับความรบั ผิดชอบทางกฎหมาย 5-19
จำ� เลยพมิ พโ์ ฆษณาขอ้ เทจ็ จรงิ ทโี่ จทกถ์ กู ชาวบา้ นกลา่ วหาในหนงั สอื พมิ พ์ โดยพมิ พใ์ นพาดหวั ขา่ ว
ดว้ ยวา่ “...เจา้ คณะฯ ยนั ไมผ่ ดิ ” ซง่ึ หมายถงึ เจา้ คณะจงั หวดั ยนื ยนั วา่ โจทกไ์ มไ่ ดก้ ระทำ� ผดิ จงึ เปน็ การแสดง
ขอ้ ความหรอื รายงานขา่ วสารโดยสจุ รติ เพอ่ื ความชอบธรรม ไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานหมน่ิ ประมาทตามประมวล-
กฎหมายอาญา มาตรา 329(1) ค�ำพิพากษาศาลฎีกา ประจ�ำพุทธศักราช 2547 ตอนท่ี 3 หน้าที่ 470
จัดพมิ พ์โดยเนตบิ ัณฑิตยสภา
(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าท่ี มาตรานี้เพ่ือคุ้มครองเจ้าหน้าท่ีท่ีปฏิบัติงาน
โดยสจุ รติ
(3) ติชมด้วยความเป็นธรรม ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระท�ำ เช่น
การรายงานขา่ ววิจารณก์ ารบรหิ ารงานของนายกรัฐมนตรี ยอ่ มทำ� ได้
(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรม เร่ืองการด�ำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุม
ผนู้ ั้นไม่มคี วามผิดฐานหม่ินประมาท
ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระท�ำความผิด พิสูจน์ได้ว่าข้อท่ีหาว่าเป็นหม่ินประมาทน้ัน
เปน็ ความจรงิ ผู้นั้นไมต่ อ้ งรบั โทษแต่ห้ามไมใ่ ห้พิสูจน์ ถ้าขอ้ ทีห่ าว่าเป็นหมิ่นประมาทน้นั เปน็ การใสค่ วาม
ในเรือ่ งส่วนตวั และการพสิ จู น์จะไมเ่ ปน็ ประโยชน์แกป่ ระชาชน (มาตรา 330) ทง้ั นี้ เรื่องส่วนตัว หมายถึง
เรื่องท่ีไม่เกยี่ วกับงาน เช่น นายหนดู ี พนกั งานพิมพ์ดีด เป็นชู้กับนางสี ภรยิ าเพ่ือนบ้าน
สว่ นการพจิ ารณาวา่ เปน็ ประโยชนแ์ กป่ ระชาชน เชน่ นกั หนงั สอื พมิ พร์ ายงานขา่ ววา่ พระเฉลาเสพสรุ า
ในกุฏิทุกวัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวของพระ แต่ก็ต้องมีการพิสูจน์เพราะเป็นประโยชน์แก่ประชาชน
ประชาชนจะไดไ้ มต่ อ้ งถกู หลอก พระทปี่ ระพฤตเิ สอ่ื มเสยี จะไดถ้ กู จบั สกึ เพอ่ื ปกปอ้ งศาสนามใิ หถ้ กู ทำ� ลาย
ตอ่ ไป ตามกฎหมายอาญาการนำ� เรอื่ งจรงิ มารายงานถอื วา่ หมนิ่ ประมาท แมก้ ารพสิ จู นจ์ ะเปน็ ประโยชนแ์ ก่
ประชาชนก็ตาม แตก่ ฎหมายถอื วา่ ยกเวน้ โทษให้ ถา้ ถามวา่ มีความผิดไหมยังมอี ยูแ่ ตไ่ ดร้ ับยกเว้นโทษ
ความผดิ ในหมวดนี้เป็นความผดิ อนั ยอมความได้ เพราะเปน็ เร่อื งความผดิ สว่ นตวั
อายคุ วาม ผเู้ สยี หายตอ้ งรอ้ งทกุ ขภ์ ายใน 3 เดอื นนบั แตว่ นั ทร่ี เู้ รอื่ งความผดิ และรตู้ วั ผกู้ ระทำ� ความผดิ
(มาตรา 333)
ข้อสังเกต
ตามพระราชบญั ญตั นิ ไ้ี มม่ บี ทบญั ญตั ใิ ดวา่ ผใู้ ดจะตอ้ งรบั ผดิ ในฐานะเปน็ ตวั การ เชน่ บรรณาธกิ าร
หรือผู้พิมพ์ต้องรับผิดชอบเป็นตัวการร่วมกับผู้กระท�ำความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย ว่า เมื่อมีความผิด
นอกจากทร่ี ะบไุ วใ้ นพระราชบญั ญตั นิ เี้ กดิ ขน้ึ และตอ้ งรบั ผดิ ตามกฎหมายอน่ื เชน่ ความผดิ ฐานหมนิ่ ประมาท
ตามประมวลกฎหมายอาญา หรือความผิดฐานละเมดิ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เป็นต้น
พิศิษฐ์ ชวาลาธวัช (2554) กล่าวว่า “ดังน้ัน นับแต่น้ีไปภายหลังประกาศใช้พระราชบัญญัติ
จดแจ้งการพมิ พ์ พ.ศ. 2550 ตามมาตรา 3 ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญัตกิ ารพมิ พ์ พ.ศ. 2484 ซง่ึ มีผลบังคับใช้
ตั้งแต่วันท่ี 19 ธันวาคม 2550 เป็นต้นไปนั้น เมื่อพระราชบัญญัติฉบับน้ีไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติใดให้
บรรณาธกิ ารหนงั สอื พมิ พต์ อ้ งรบั ผดิ เปน็ ตวั การในความผดิ อนั เกยี่ วดว้ ยหนงั สอื พมิ พอ์ กี ถา้ มกี ารฟอ้ งรอ้ ง
เป็นคดีความผิดตามกฎหมายอื่นเกิดข้ึนและคดียังไม่ส้ินสุดยุติลง เมื่อบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ถูกฟ้อง