Page 106 - พฤติกรรมมนุษย์และจริยธรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
P. 106
11-54 พ ฤติกรรมม นุษย์และจ ริยธรรมทางเศรษฐกิจแ ละธ ุรกิจ
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้กำหนดกรอบแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาดัชนีชี้วัดความอยู่เย็น
เป็นสุขร ่วมกันในสังคมไทย ขึ้น 3 ประการ คือ
1. คำนึงถึงความสอดคล้องกับ “วิสัยทัศน์ประเทศไทย” ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับ
ที่ 10 ซึ่งได้ม าจ ากการร ะดมความคิดข องประชาชนในทุกภาคส ่วน คือ มุ่งพัฒนาป ระเทศไทยส ู่ “สงั คมอยูเ่ ยน็ เปน็ สุข
รว่ มกัน” (Green and Happiness Society) คนไทยม ีค ุณธรรมน ำความร อบรู้ รู้เท่าทันโลก ครอบครัวอบอุ่น ชุมชน
เข้มแ ข็ง สังคมส ันติสุข เศรษฐกิจม ีค ุณภาพ เสถียรภาพ และเป็นธ รรม สิ่งแวดล้อมมีค ุณภาพ และทรัพยากรธรรมชาติ
ยั่งยืน อยูภ่ ายใตร้ ะบบบ ริหารจ ดั การป ระเทศท มี่ ธี รร มาภบิ าล ดำรงไวซ้ ึง่ ร ะบอบป ระชาธปิ ไตยอ นั ม พี ระม หาก ษัตริยท์ รง
เป็นป ระมุข และอ ยู่ในป ระชาคมโลกได้อย่างมีศ ักดิ์ศรี
2. ยึดหลักการปฏิบัติตาม “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งชี้ถึง “แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติตน
ของป ระชาชนท ุกร ะดับ ตั้งแตร่ ะดับค รอบครัว ชุมชน จนถึงร ะดับร ัฐใหด้ ำเนินไปในท างส ายก ลาง โดยเฉพาะก ารพ ัฒนา
เศรษฐกิจเพื่อก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ เพื่อให้เกิดความสมดุลและพร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงอ ย่างรวดเร็ว
และก ว้างขวาง ทั้งด ้านวัตถุ สังคม สิ่งแ วดล้อม และว ัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอ ย่างดี” โดยยึดห ลัก “ความ
พอเพยี ง” ซึ่งมีค ุณลักษณะท ี่สำคัญ 3 ประการ คือ “ความพอป ระมาณ” “ความมีเหตผุ ล” “ระบบภ มู คิ ุ้มกัน” โดยที่
การข ับเคลื่อนก ระบวนการพัฒนาทุกข ั้นตอนต้องใช้ “คุณธรรม” และ “ความร อบรู้” นำการพ ัฒนา
ภายใต้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีแนวคิดและมุมมองที่ให้ความสำคัญกับภาวะความสมดุล
ที่เกิดจากทุกองค์ประกอบที่สัมพันธ์กันอย่างถูกต้อง พอดี มีความสมดุล การพัฒนาต้องอยู่ภายใต้หลักดุลยธรรม
คือ การกร ะท ำท ี่นำไปส ู่ค วามสมดุลข องทุกมิติท ี่เป็นอ งค์ประกอบข องส ังคมในทุกระดับ ตั้งแต่ร ะดับบุคคล (กาย ใจ
สติป ัญญา) ระดับชุมชน (ส่วนก ลางกระจายอำนาจให้แก่ท ้องถิ่น) และร ะดับส ังคม (การม ีระบบเศรษฐกิจ สังคม ซึ่ง
เป็นธ รรม) ดังน ั้น จึงก ล่าวได้ว ่า ค่าน ิยมของก ารด ำรงช ีวิตและก ารพ ัฒนาส ังคมไทยตามห ลักป รัชญาข องเศรษฐกิจพ อ
เพียง คือ “ความส ขุ ” หรือ “ความอยูเ่ ยน็ เปน็ สขุ ” เนื่องจากสะท้อนค วามส มดุลและความเป็นธ รรมในท ุกมิติของก าร
พัฒนา และให้ค วามส ำคัญในเชิงค ุณค่าข องค วามส ุขม ากกว่าร ายได้ห รือค วามม ั่งคั่ง เน้นค ุณค่าท างจ ิตใจม ากกว่าว ัตถุ
และเป็นส ิ่งท ี่มีคุณค่าท ี่ทุกคนสามารถแบ่งป ันกันได้
3. ยึดแ นวคิดก ารพ ัฒนาแ บบบ ูรณาก ารเป็นอ งคร์ วมท ีย่ ึด “คนเปน็ ศ นู ยก์ ลางก ารพ ฒั นา” ซึ่งเป็นแ นวคิดก าร
พัฒนาสู่ความพอเพียงที่ป รับจ ากการมุ่งเน้นก ารเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นการพัฒนาที่ยึด “คน” เป็นต ัวต ั้ง ให้ค วาม
สำคัญก ับผ ลป ระโยชนแ์ ละค วามอ ยู่ดมี สี ุขข องป ระชาชนเป็นห ลัก และใชก้ ารพ ัฒนาเศรษฐกิจเป็นเครื่องม ือช ่วยพ ัฒนา
ให้คนมีความส ุขและค ุณภาพชีวิตท ี่ดี ซึ่งม ีห ลักก ารสำคัญ คือ
3.1 ต้องปรับวิธีคิดและวิธีการพัฒนา จากเดิมที่มีลักษณะแบบแยกส่วนตามภารกิจและหน้าที่ มา
เป็นแบบบูรณาการเชื่อมโยงทุกมิติของการพัฒนาเป็นองค์รวมที่มีคนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งวิธีคิดและวิธีการพัฒนาเพื่อ
สร้าง “ความอยู่เย็นเป็นสุข” ต้องมองความสุขอย่างเป็นองค์รวมในทุกปัจจัยที่เกี่ยวข้องและตอบสนองต่อการรักษา
สมดุลและการมีวิถีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสอดคล้องตามสภาพแวดล้อม ไม่รบกวนเบียดเบียนสิ่งแวดล้อมให้เกิด
การ เสียสมดุล
3.2 ยึดหลกั “ภูมิสงั คม” ตามความแตกต่างของความหลากหลายทางธรรมชาติและความหลากหลาย
ทางวัฒนธรรมตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่และวิถีชีวิตของชุมชนและสังคมนั้นๆ โดยเฉพาะความแตกต่างระหว่าง
ภูมิภาค และระหว่างชนบทกับเมือง ดังนั้น การพัฒนาดัชนีชี้วัดในแต่ละองค์ประกอบจึงต้องพิจารณาจำแนกตาม
ความแตกต่างเชิงพื้นที่ระหว่างชนบท เมือง ระหว่างภูมิภาคและจังหวัด เพื่อให้ดัชนีสะท้อนความแตกต่างของความ
อยู่เย็นเป็นสุขในแ ต่ละพื้นที่
ลิขสทิ ธิข์ องมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช