Page 29 - การวิจัยทางนิเทศศาสตร์
P. 29

แนวคิดเบื้องต้นเกี่ยวกับการวิจัยนิเทศศาสตร์ 1-19

       1. 	 การทดลองในคุกของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment) ของ Zimbardo
(Babbie. 2010: 66-67)

       การวิจัยเรื่องนี้ต้องการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อถูกคุมขังและปฏิสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่
ผู้คุมกับนักโทษในเรือนจำ� โดยใช้อาสาสมัครที่เป็นนักศึกษาที่ไม่รู้จักกันมาก่อน จำ�นวน 20 คน มาสวมบทบาทเป็น
เจ้าหน้าที่ผู้คุมกับนักโทษในคุกใต้ดินจำ�ลอง โดยมีการสุ่มให้อาสาสมัคร 8 คนเป็นเจ้าหน้าที่ผู้คุม ซึ่งมีเครื่องแต่งกาย
และอุปกรณ์ลงโทษเหมือนจริง และอาสาสมัครอีก 12 คนที่เหลือจะรับบทบาทเป็นนักโทษ ทั้งนี้ในการวิจัยจะมีการ
สรา้ งเงือ่ นไขตา่ ง ๆ เพือ่ ใหเ้ จา้ หนา้ ทีผ่ ูค้ มุ ไดใ้ ชอ้ �ำ นาจของตน ซึง่ นกั โทษตอ้ งปฏบิ ตั ติ าม โดยโครงการวจิ ยั นีม้ รี ะยะเวลา
6 สัปดาห์ แต่นักวิจัยได้ตัดสินใจยกเลิกการวิจัยกลางคันหลังจากผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ เนื่องจากอาสาสมัครเริ่มมี
การกระท�ำ ทีร่ นุ แรงจนอาจควบคมุ ไมไ่ ด้ และอาจน�ำ ไปสูส่ ถานการณท์ ีเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ รา่ งกายและจติ ใจของอาสาสมคั ร
ซึ่งการตัดสินใจของนักวิจัยครั้งนี้ได้คำ�นึงถึงความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมวิจัยมากกว่าความสำ�เร็จของโครงการวิจัย

       2. 	 การทดลองเก่ียวกับการเชื่อฟังผู้มีอำ�นาจของ Milgram (Milgram Experiment on Obedience to
Authority Figures) (Milgram. 1963: 371-378)

       การวิจัยเรื่องนี้ต้องการศึกษาว่า ผู้เข้าร่วมวิจัยจะเชื่อฟังเพียงใด ถ้าผู้มีอำ�นาจออกคำ�สั่งให้ทำ�ในสิ่งที่ขัดกับ
มโนธรรม โดยผู้วิจัยบอกกับอาสาสมัครที่เป็นผู้เข้าร่วมวิจัยว่า เป็นการวิจัยเกี่ยวกับความจำ�และการเรียนรู้ ซึ่งผู้วิจัย
จะปลอมตวั เปน็ นกั ชวี วทิ ยาทา่ ทางเขม้ งวด และมผี ูช้ ว่ ยวจิ ยั ปลอมตวั เปน็ อาสาสมคั รอกี คนหนึง่ โดยใหอ้ าสาสมคั รจรงิ
รับบทบาทเป็นครู และอาสาสมัครปลอมรับบทบาทเป็นนักเรียน แยกกันอยู่คนละห้อง ต่อจากนั้นให้อาสาสมัครจริง
อ่านคำ�ให้อาสาสมัครปลอมฟังทีละคู่ และถามอาสาสมัครปลอมจำ�คู่คำ�เหล่านั้นได้หรือไม่ ถ้าอาสาสมัครปลอมตอบ
ผิด อาสาสมัครจริงต้องส่งกระแสไฟฟ้าไปช็อตอาสาสมัครปลอม โดยเพิ่มจำ�นวนโวลต์ขึ้นไปเรื่อย ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้ว
อาสาสมัครปลอมไม่ได้ถูกช็อตจริง แต่จะแสร้งร้องเจ็บปวด เมื่ออาสาสมัครจริงอยากหยุดการทดลอง ผู้วิจัยในคราบ
ของนักชีววิทยาก็จะพูดกดดันหรือขมขู่ ซึ่งหลังจากการวิจัยเสร็จสิ้น ผู้วิจัยก็ไม่ได้เฉลยความจริงให้อาสาสมัครที่เป็น
ผู้ร่วมวิจัยทราบ การวิจัยครั้งนี้เข้าข่ายในการผิดจริยธรรมการวิจัยในหลายประเด็น ทั้งประเด็นความปลอดภัยของ
ผูเ้ ขา้ รว่ มวจิ ยั ซึง่ หลาย ๆ คนไดร้ บั ผลกระทบทางจติ ใจ และประเดน็ การปดิ บงั โดยผูว้ จิ ยั และผูช้ ว่ ยวจิ ยั มกี ารปลอมตวั
และปิดบังเรื่องและวิธีการวิจัยที่แท้จริง รวมทั้งยังไม่มีการเปิดเผยความจริงหลังเสร็จสิ้นการวิจัยอีก

       3. 	 การวิจัยเก่ียวกับการแลกเปลี่ยนบริการรักร่วมเพศในห้องสุขา (Tearoom Trade) ของ Humphreys
(Babbie. 2010: 75-76)

       การวิจัยเรื่องนี้ต้องการศึกษาพฤติกรรมรักร่วมเพศในห้องสุขาสาธารณะ โดยผู้วิจัยปลอมตัวเป็นเกย์
ไปทำ�หน้าที่ดูต้นทางให้กับคู่รักร่วมเพศที่กำ�ลังมีเพศสัมพันธ์ในห้องสุขาสาธารณะ และเก็บข้อมูลพฤติกรรมต่าง ๆ
รวมถึงการสื่อสารระหว่างรักร่วมเพศ นอกจากนั้นผู้วิจัยยังแอบจดทะเบียนรถยนต์ของรักร่วมเพศที่มาใช้บริการ
ดังกล่าวนี้ เพื่อนำ�ไปตรวจสอบหาที่อยู่ และผู้วิจัยจะตามไปสังเกตสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคมถึงบ้านของคน
เหล่านั้น รวมทั้งผู้วิจัยยังอาจปลอมตัวไปสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง โดยไม่บอกวัตถุประสงค์ที่แท้จริงอีกด้วย การวิจัย
ครัง้ นีเ้ ขา้ ขา่ ยในการผดิ จรยิ ธรรมการวจิ ยั ในหลายประเดน็ ทัง้ ประเดน็ ความเตม็ ใจในการเขา้ รว่ มวจิ ยั ของกลุม่ ตวั อยา่ ง
และประเด็นการปิดบังตัวตนที่แท้จริงของผู้วิจัย รวมถึงปกปิดวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการวิจัยอีกด้วย และที่สำ�คัญ
เกิดคำ�ถามตามมาว่า เรื่องที่ทำ�วิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมหรือไม่ หรือเพียงแค่ต้องการตอบสนองความ
อยากรู้อยากเห็นส่วนตัวของผู้วิจัยเอง
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34