Page 28 - การวิจัยทางนิเทศศาสตร์
P. 28
1-18 การวิจัยทางนิเทศศาสตร์
เรอ่ื งที่ 1.3.1
จรยิ ธรรมการวิจยั นิเทศศาสตร์
คำ�ว่า “จริยธรรม” นั้น หากแปลตามรากศัพท์ย่อมหมายถึง ธรรมะที่บุคคลพึงประพฤติปฏิบัติ ซึ่งมักอิงอยู่
กับหลักแห่งคุณงามความดีหรือศีลธรรม ดังนั้นหากบุคคลได้ประพฤติปฏิบัติตนอย่างมีจริยธรรมแล้ว ย่อมได้รับ
การยกย่องสรรเสริญว่าเป็นผู้ประพฤติดี เช่นเดียวกับในการวิจัย นักวิจัยพึงต้องมีจริยธรรมในการวิจัย เพื่อให้ได้ชื่อ
ว่าเป็นนักวิจัยที่ดี
สำ�นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (2554: 2) ได้นิยาม “จริยธรรมการวิจัย” (Research Ethics) ว่า
หมายถึง ประมวลหลักประพฤติปฏิบัติที่ดีในการวิจัยที่นักวิจัยควรยึดถือปฏิบัติ เพื่อให้ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้มี
คุณธรรม คือ คุณงามความดี และมีจริยธรรม คือ ถูกต้องด้วยศีลธรรม
ทั้งนี้ สำ�นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติถือว่า จริยธรรมการวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของจรรยาวิชาชีพวิจัย หรือ
จรรยาวิชาชีพวิจัยมีความหมายครอบคลุมรวมจริยธรรมการวิจัยด้วย (ซึ่งจะกล่าวถึงในเรื่องต่อไป) ดังนั้นในที่นี้จึง
จะกล่าวถึงจริยธรรมการวิจัยในลักษณะที่เป็นหลักการทั่วไปแห่งคุณงามความดีหรือศีลธรรมที่นักวิจัยพึงคำ�นึงถึง
ในการวิจัย
การวิจยั นิเทศศาสตร์เปน็ การวิจัยทางสังคมศาสตร์ ซึ่งมักตอ้ งเกบ็ ข้อมูลจากมนุษย์ในฐานะกลุ่มตัวอย่างหรือ
แหล่งข้อมูล ดังนั้นจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัยดังนี้ (Babbie. 2010: 62-85)
1. ความเตม็ ใจในการเขา้ รว่ มวิจยั (Voluntary Participation) การวิจัยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการแทรกแซง
วิถีชีวิตตามปกติและความเป็นส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่างไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ดังนั้นนักวิจัยจะต้องได้รับความ
ยินยอมจากกลุ่มตัวอย่างในการให้ข้อมูล โดยต้องให้กลุ่มตัวอย่างตัดสินใจเข้าร่วมวิจัยได้อย่างอิสระและปราศจาก
แรงกดดนั ใด ๆ รวมทัง้ นกั วจิ ยั ตอ้ งใหข้ อ้ มลู ตา่ ง ๆ ของการวจิ ยั อาทิ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ยั ขัน้ ตอนและวธิ กี ารวจิ ยั
ตลอดจนอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งหมด โดยกลุ่มตัวอย่างต้องสามารถขอถอนตัวจากการเข้าร่วมวิจัยได้ทุกเมื่อ
2. ความปลอดภัยของผู้เข้าร่วมวิจัย (No Harm to Participation) นักวิจัยต้องคำ�นึงถึงอันตรายที่จะต้อง
ไม่ให้เกิดขึ้นกับผู้เข้าร่วมวิจัย ทั้งในระหว่างการวิจัยและหลังการวิจัย ไม่ว่าจะเป็นอันตรายทางร่างกาย (Physical
Harm) อันตรายทางสังคม (Social Harm) และอันตรายทางจิตใจ (Psychological Harm)
3. การรักษาความนริ นามและความลับ (Anonymity and Confidentiality) การวิจัยต้องไม่เปิดเผยชื่อหรือ
ขอ้ มลู ทีส่ ามารถเชือ่ มโยงไปยงั ชือ่ ของผูเ้ ขา้ รว่ มวจิ ยั โดยนกั วจิ ยั ตอ้ งใหค้ วามมัน่ ใจกบั ผูเ้ ขา้ รว่ มวจิ ยั วา่ ขอ้ มลู ทีใ่ หม้ านัน้
จะไม่สามารถระบุชื่อผู้ตอบได้ หรือในการตอบแบบสอบถามไม่ควรให้เขียนชื่อผู้ตอบ และการรายงานผลการวิจัยใน
แต่ละประเด็นก็ไม่ควรระบุชื่อผู้ให้ข้อมูล แต่ควรนำ�เสนอผลการวิจัยในภาพรวมทั้งหมด
4. การปิดบังและการเปิดเผยในภายหลัง (Deception and Debriefing) การวิจัยที่นักวิจัยปลอมแปลง
เอกลักษณ์ของตัวเองเพื่อเก็บข้อมูล หรือการจงใจปิดบังวิธีการวิจัยที่กำ�ลังดำ�เนินอยู่ ถือว่า ขาดจริยธรรม หากแต่มี
ความจำ�เป็นเพื่อความเที่ยงตรงของผลการวิจัย เช่น ในการวิจัยเชิงทดลอง ซึ่งหากผู้เข้าร่วมวิจัยทราบถึงวิธีการวิจัย
ล่วงหน้า อาจมีผลกระทบต่อผลการวิจัยได้ ดังนั้นนักวิจัยต้องชั่งตรองว่า การปิดบังข้อมูลนั้นมีความจำ�เป็นหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบกับผลการวิจัยที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ในที่นี้จะยกตัวอย่างกรณีศึกษาการวิจัยทางสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสาร และมีประเด็นพิจารณา
เกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัย ดังนี้