Page 47 - โลกทัศน์ไทย
P. 47

ศาสนาครสิ ต์ในสงั คมไทย 9-37
ไม่มีความรอดส�ำหรับมนุษย์” ในความหมายนี้คริสตจักรจึงเป็น “เคร่ืองมือ” แห่งความรอดชิ้นเดียวที่
พระเจา้ ประทานใหแ้ กโ่ ลก แตด่ งั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมา การประกาศศาสนาครสิ ตน์ น้ั มใิ ชเ่ ปน็ การสอนเพยี งหลกั ธรรม
เทา่ น้นั แต่ยงั ได้ผนวกเอาวัฒนธรรม ความเชอื่ และอดุ มการณ์แบบตะวนั ตกเข้าไปดว้ ย ผลทต่ี ดิ ตามมาก็
คือวัฒนธรรม ความเชื่อและอุดมการณ์แบบตะวนั ตกไดก้ ลายเป็น “ความดี” และเปน็ “มาตรฐาน” ทใี่ ช้
วดั สงั คมและชวี ติ มนษุ ย์ ในสภาพเชน่ นี้ เราจะเลอื กรบั “หลกั ธรรม” และปฏเิ สธลกั ษณะรอบขา้ งอน่ื ๆ ไมไ่ ด้
ดงั เชน่ ถา้ มคี รสิ ตชนทไี่ มย่ อมรบั พธิ กี รรมของศาสนาครสิ ต์ กย็ อ่ มเทา่ กบั วา่ เขาปฏเิ สธศาสนาครสิ ตไ์ ปดว้ ย

       แตส่ ำ� หรบั การสงั คายนาของสภาสงั คายนาสากลวาตกิ นั ที่ 2 เราอาจกลา่ วไดว้ า่ ครสิ ตจกั รไดก้ า้ ว
สู่คณุ ภาพใหม่อย่างแท้จริง คือ การสังคายนามไิ ดเ้ ป็นเพียงการรวบรวมและประมวลค�ำสอนตา่ งๆ เทา่ น้นั
แต่ทวา่ มีการตีความ เพื่อหา “ข่าวสารแห่งความรอด” ทีแ่ ทจ้ รงิ ออกมา และท่ยี งิ่ ไปกวา่ น้ัน คือการแทนท่ี
ความเข้าใจแต่เดิมท่ีว่า “ศาสนาเสื่อมเพราะมนุษย์และสังคมหันหลังให้แก่ศาสนา” ด้วยความเข้าใจว่า
ศาสนาเสื่อมเพราะศาสนาหันหลังให้แก่มนุษย์และสังคม

       ดว้ ยความเขา้ ใจใหม่ ศาสนาจงึ ไมส่ ามารถกำ� หนดขอบเขตตนเองไวใ้ นรวั้ วดั และสนใจเฉพาะปญั หา
ในการศกึ ษาพระคมั ภรี จ์ นแตกฉาน แตศ่ าสนาตอ้ งออกไปสมั ผสั กบั ชวี ติ และปญั หาของคนในสงั คม พจิ ารณา
ปัญหาเหลา่ นีจ้ ากหลักธรรมต่างๆ และเสนอทางออกให้แก่สังคมในฐานะของทางเลือกอีกอันหนึ่ง

       ในกระบวนการนเ้ี องทที่ ำ� ใหศ้ าสนาครสิ ตเ์ ขา้ ถงึ ความหลากหลายของวฒั นธรรมทพ่ี ฒั นาขนึ้ มาดว้ ย
“ปรชี าญาณ” ของมนษุ ยใ์ นแต่ละสงั คมตามลักษณะของภูมภิ าค วฒั นธรรมเหลา่ นี้แมจ้ ะมีความตา่ งทัง้ ใน
ทางรูปแบบและเนื้อหาไปจากศาสนาคริสต์ แต่ก็พบในภายหลังว่า มีเน้ือหาบางอย่างท่ีเป็นไปเพื่อความ
สมบรู ณ์ของมนุษย์ ในความเข้าใจใหม่นีเ้ อง วัฒนธรรมทอ้ งถน่ิ จงึ ควรไดร้ ับการประเมนิ คา่ เพื่อทจี่ ะเสรมิ
และเติมหลกั ธรรมบางประการเขา้ ไป มิใช่เพียงเพือ่ ใหค้ นเหลา่ น้นั กลบั ใจเป็นครสิ ตชน แตเ่ พื่อให้พวกเขา
เปน็ มนษุ ยท์ สี่ มบรู ณ์ ในฐานะบตุ รของพระเจา้ และสงิ่ สรา้ งทพ่ี ระเจา้ ทรงสรา้ งจากพระฉายาของพระองคเ์ อง

       เมอ่ื ครสิ ตจกั รเปลยี่ นแนวความคดิ ไปเปน็ แบบใหม่ ลกั ษณะการจดั องคก์ รแบบเดมิ กไ็ มส่ อดคลอ้ ง
กบั การเผยแผศ่ าสนาแบบใหม่ จงึ ไดม้ กี ารปรบั รปู แบบการจดั องคก์ รใหมด่ ว้ ย กลา่ วคอื ครสิ ตจกั รทก่ี รงุ โรม
ไดใ้ ห้สงั ฆมณฑลตา่ งๆ ทัว่ โลกรวมตวั กนั ในระดับต่างๆ เปน็ คริสตจกั รทอ้ งถนิ่ (ของแต่ละประเทศ) และ
คริสตจักรท้องถิน่ มีอิสระในการทำ� งานในระดบั หนึง่ จากคริสตจักรสากล

       สำ� หรบั ประเทศไทย ในปี ค.ศ. 1969 พระสงั ฆราชทง้ั 10 สงั ฆมณฑลไดร้ า่ งธรรมนญู ของครสิ ตจกั ร
ใหม้ ีสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรรบั ผดิ ชอบสงู สดุ ในการก�ำหนดนโยบายของ
ครสิ ตจกั รคาทอลิกในประเทศไทย สภาพระสังฆราชฯ เป็นหน่วยงานระดับชาติ มกี รรมาธกิ ารฝา่ ยต่างๆ
รับผิดชอบโดยพระสังฆราชตามความเหมาะสม

       นอกจากนี้ ในแตล่ ะสังฆมณฑล (ซึ่งเปน็ หนว่ ยงานระดับท้องถน่ิ ) ใหม้ ีโครงสรา้ งการทำ� งานแบบ
เดยี วกับหนว่ ยงานระดับชาตมิ ากทสี่ ดุ เท่าที่จะเปน็ ไปได้ ทงั้ นเี้ พอ่ื ความสะดวกในการประสานงานระหวา่ ง
หนว่ ยงานระดบั ชาติและระดบั ทอ้ งถน่ิ

       โครงสรา้ งการบรหิ ารงานของสภาพระสงั ฆราชฯ ไดม้ กี ารเปลยี่ นแปลงเพอื่ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพใน
การทำ� งาน รวมทงั้ การตดิ ตอ่ งานกบั สว่ นราชการ จนกระทง่ั ปจั จบุ นั สามารถแสดงโครงสรา้ งการบรหิ ารงาน
ของสภาพระสังฆราชฯ ได้ดงั นี้
   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51   52