Page 43 - โลกทัศน์ไทย
P. 43

ศาสนาคริสตใ์ นสังคมไทย 9-33
       พระสงั ฆราชปลั เลอกวั ซไ์ ดว้ างรากฐานตา่ งๆ ทส่ี ำ� คญั ใหแ้ กค่ รสิ ตจกั ร ทา่ นไดแ้ ตง่ หนงั สอื “หนงั สอื
พรรณนาพระราชอาณาจกั รไทยหรอื สยาม” นอกจากน้ยี ังไดพ้ ิมพ์หนงั สืออกี 2 เล่ม คือ กฎข้อบงั คบั ของ
มิสซัง (สยาม) และก�ำหนดของพระสังฆราชจงถอื ตาม ณ ตึกบ้านครสิ ตังมสิ ซังไทย
       ในสมัยของท่าน ทางการยอมรับสิทธิของธรรมทูตที่จะไปประกาศศาสนาได้ท่ัวราชอาณาจักร
มีการสรา้ งวดั อกี 3 วัด คือ วัดเปโตร วดั บางนกแขวก และวดั หวั ไผ่ พระสงั ฆราชองค์ตอ่ ๆ มาดำ� เนนิ งาน
ตามนโยบายของทา่ นภายในเวลา 10 ปี มคี รสิ ตชนเพ่มิ จำ� นวนขน้ึ ถงึ 10 เทา่
       สมยั ตอ่ มา พระสังฆราชหลุยส์ เวย์ พบอุปสรรคในด้านการถกู ลกั ขโมยของวดั ปญั หาอ้งั ย่ที ่ขี ่มขู่
คนจีนท่ีกลับใจเป็นคริสตชน และท่ีรุนแรงที่สุดก็คือผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างไทย-ฝร่ังเศส ใน
กรณีวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 ไทยต้องเสียดนิ แดนฝ่งั ซา้ ยและขวาของแมน่ ำ้� โขงใหแ้ ก่ฝร่ังเศส ทำ� ใหค้ นไทย
เกลียดชังคริสตชน เพราะพระสงฆ์โดยมากในขณะนั้นเป็นชาวฝรั่งเศส แต่อย่างไรก็ดี ทางราชส�ำนักก็
พยายามปกป้องการทำ� งาน ชวี ติ และทรพั ยส์ ินของคริสตชนมใิ ห้ถูกล่วงละเมิด
       ใน ค.ศ. 1883 การเผยแผ่ศาสนาได้ขยายไปทางภาคอีสานโดยบาทหลวงโปรคอมเดินทางไป
จงั หวดั อบุ ลราชธานี นครพนม ไปจนถงึ หนองคาย ระหวา่ งทางทา่ นไดช้ ว่ ยเหลอื คนตกทกุ ขแ์ ละไดไ้ ถท่ าส
มาจำ� นวนหนงึ่ ดว้ ย เรมิ่ มกี ารตง้ั ชมุ ชนครสิ ตชนขนึ้ แถวสกลนคร และมกี ารสรา้ งวดั ขนึ้ ทจ่ี งั หวดั อบุ ลราชธานี
       ใน ค.ศ. 1844 คริสตชนที่สกลนครถูกเบียดเบยี นมาก บาทหลวงโปรคอมจงึ อพยพคนทั้งหมดไป
อยู่ท่ี “ศนู ย์มิสซังใหม่” (ต�ำบลทา่ แร่ในปัจจบุ ัน) จนกระทงั่ วันท่ี 24 พฤษภาคม ค.ศ. 1899 ทางกรงุ โรม
จึงอนุญาตให้สถาปนาข้ึนเป็นมิสซังลาว โดยอภิเษกบาทหลวงมารีโยเซฟ กืออาสข้ึนเป็นพระสังฆราช
องค์แรกของมสิ ซงั ลาว
       เหตุการณ์ที่นับว่ามีความสําคัญอีกอันหนึ่ง คือ ทางการได้ออกพระราชบัญญติว่าด้วยลักษณะ
ฐานะวดั บาทหลวงโรมนั คาทอลิกในกรงุ สยาม ในวนั ท่ี 27 สิงหาคม ค.ศ. 1909 (ร.ศ. 128) ให้ถือวา่ มสิ ซงั
เป็นนิตบิ คุ คลมพี ระสังฆราชเป็นประมุข มอี ำ� นาจถอื ท่ดี ินสำ� หรับประโยชนข์ องมสิ ซงั โดยแบง่ ทด่ี นิ เป็น 2
ประเภท คอื
       1) 	ที่ดนิ ส�ำหรับวัด โรงเรียน และท่ีอาศัยของบาทหลวง
       2) 	ท่ีดนิ เพื่อทำ� ประโยชน์ให้แกม่ ิสซัง รวมถึงทท่ี คี่ ริสตชนอยู่อาศัยและทำ� มาหากิน
       ความเจริญก้าวหน้าของมิสซังสยาม
       ตั้งเเต่สมัยของพระสังฆราชเวย์ มิสซังสยามได้ซ่อมแซมวัดเก่า และได้สร้างวัดใหม่ข้ึนอีกหลาย
แหง่ เมื่อทา่ นถงึ เเก่มรณภาพ มีวัดอยู่ 59 แห่ง มคี รสิ ตชนราว 23,600 คน โรงพยาบาล 1 แห่ง โรงเรยี น
4 แห่ง มีพระสงฆ์ไทย 10 องค์* และธรรมทตู 40 องค์ เราอาจล�ำดบั ความเจริญกา้ วหนา้ ของกจิ การดา้ น
ตา่ งๆ ของมสิ ซังสยามได้ ดังนี้
       ใน ค.ศ. 1875 บาทหลวงกอลมเบต์ มาเปน็ เจา้ อาวาสวดั อสั สมั ชญั ไดเ้ ปดิ โรงเรยี นวดั ขน้ึ (โรงเรยี น
อสั สมั ชญั ซงึ่ ตอ่ มาเรยี กวทิ ยาลยั อสั สมั ชญั ) ใน ค.ศ. 1885 แตค่ นไมส่ นใจเทา่ ไหร่ บางครงั้ ตอ้ งจา้ งเดก็ นกั เรยี น
มาเรยี น ตอ่ มานกั เรยี นมมี ากขน้ึ จนถงึ ค.ศ. 1889 จงึ ไดส้ รา้ งโรงเรยี นหลงั ใหมข่ นึ้ มา เดก็ นกั เรยี นเดนิ ทาง

         *พระสงฆใ์ นศาสนาคริสต์ เรียก ลกั ษณนามเปน็ “องค”์ ไม่เรยี กเป็น “รูป” อย่างพระภกิ ษุในศาสนาพุทธ
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48