Page 66 - โลกทัศน์ไทย
P. 66
9-56 โลกทัศนไ์ ทย
ความน�ำ
กอ่ นทเี่ ราจะพจิ ารณากจิ การตา่ งๆ ขององคก์ รศาสนาครสิ ตใ์ นสงั คมไทย เราควรจะไดพ้ จิ ารณาถงึ
แนวความคดิ ทีอ่ ยู่เบอื้ งหลงั การดำ� เนินกิจการตา่ งๆ เหล่านน้ั กอ่ น เราจะพบว่าศาสนาคริสต์ทัง้ นิกายโรมนั
คาทอลกิ เเละนกิ ายโปรเตสแตนต์ จะมลี กั ษณะของการเผยแผศ่ าสนาในรปู ของการประกาศศาสนาโดยตรง
และควบคู่กับการประกาศนี้ บรรดาธรรมทูตก็ได้ให้บริการแก่สังคมในรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการรักษา
พยาบาล การสอนหนังสอื การให้ความชว่ ยเหลอื ในรปู สงั คมสงเคราะห์ เปน็ ต้น
หากสบื คน้ ลงไปถงึ แนวความคดิ เบอื้ งหลงั การดำ� เนนิ งานเหลา่ นี้ เราจะพบวา่ สง่ิ ทบี่ รรดาธรรมทตู
ได้ปฏิบัติน้ัน ก็เป็นไปตามค�ำสอนของพระเยซูคริสต์ที่ทรงส่ังสอนแก่อัครสาวกและบันทึกไว้ในพระคัมภีร์
ไบเบลิ นน่ั เอง
พระเยซคู ริสตต์ รสั กับเหลา่ อัครสาวกว่า “พระบดิ าทรงรกั เราฉันใด เราก็รักทา่ นฉันน้ัน จงยึดม่นั
อยใู่ นความรักของเรา ถ้าทา่ นทงั้ หลายประพฤติตามบัญญัตขิ องเรา ทา่ นกจ็ ะยดึ มัน่ อยใู่ นความรักของเรา
เหมือนดงั ที่เราประพฤตติ ามพระบญั ญัติของพระบิดา และยดึ มัน่ อยใู่ นความรักของพระองค.์ ..บัญญตั ขิ อง
เราคอื ให้ทา่ นท้งั หลายรกั กนั เหมือนดังที่เราไดร้ กั ท่าน ไมม่ ีผู้ใดมคี วามรกั ที่ยิ่งใหญก่ วา่ นค้ี ือ การทผ่ี ู้หนึ่ง
ผ้ใู ดจะสละชีวติ ของตนเพ่อื มิตรสหาย” และทรงส่ังเหล่าสาวกว่า “พระบดิ าทรงใชเ้ รามาในโลกฉันใด เราก็
จะใชเ้ จา้ ไปในโลกฉนั นนั้ ” และ “เหตฉุ ะนน้ั เจา้ ทง้ั หลายจงออกไปเทศนส์ อนชนทกุ ชาตใิ หม้ าเปน็ สาวกของเรา
ใหพ้ วกเขารบั ศีลลา้ งบาปในพระนามแหง่ พระบิดา พระบตุ ร และพระจติ จงสอนใหเ้ ขาถอื รกั ษาสงิ่ สารพดั
ซึ่งเราไดส้ ั่งพวกเจา้ ไว้”
พระเยซคู ริสตท์ รงยกอุปมาเปรียบเทียบ “การพิพากษาประชาชาต”ิ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจการทำ� ความดี
ตามพระบัญญัติซ่ึงเรียกว่าการเป็นผู้ชอบธรรม ความในอุปมากล่าวว่า “ขณะน้ันพระมหากษัตริย์จะตรัส
แกบ่ รรดาผทู้ อ่ี ยู่เบอ้ื งขวาพระหตั ถ์ของพระองค์วา่ ทา่ นท้งั หลายที่ไดร้ ับพระพรจากพระบดิ าของเรา จงมา
รบั เอาราชอาณาจกั รซงึ่ ไดต้ ระเตรยี มไวส้ ำ� หรบั ทา่ นทงั้ หลายตง้ั แตแ่ รกสรา้ งโลก เพราะวา่ เมอื่ เราหวิ ทา่ น
ท้งั หลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายนา้ํ ท่านก็ให้เราด่มื เราเปน็ แขกแปลกหนา้ ทา่ นก็ได้ต้อนรับเรา
ไว้ เราเปลือยกาย ทา่ นก็ไดใ้ หเ้ ส้อื ผา้ เรานงุ่ ห่ม เม่อื เราเจ็บปว่ ย ทา่ นกไ็ ดม้ าเยยี่ มเอาใจใส่เรา เม่ือเราตอ้ ง
จ�ำอย่ใู นพนั ธนาการ ทา่ นก็ไดม้ าเยย่ี มเรา เวลานน้ั บรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทลู วา่ ‘พระองค์เจา้ ข้า ที่ขา้
พระองคเ์ ห็นพระองค์ทรงหิวหรอื ทรงกระหายนำ�้ และได้จัดมาถวายแกพ่ ระองคแ์ ต่เม่อื ไร ทข่ี ้าพระองค์ได้
เหน็ พระองคท์ รงเปน็ แขกแปลกหนา้ และไดต้ อ้ นรบั ไว้ หรอื เปลอื ยพระกาย และไดส้ วมฉลองพระองคใ์ หแ้ ต่
เมอ่ื ไร ทขี่ า้ พระองคเ์ หน็ วา่ ทรงประชวรหรอื ทรงตอ้ งจ�ำอยใู่ นพนั ธนาการ และไดม้ าเฝา้ พระองคน์ น้ั แตเ่ มอ่ื ไร’
แลว้ พระมหากษตั ริย์จะตรสั กบั เขาว่า ‘เราบอกความจรงิ แกท่ ่านท้งั หลายว่า สิง่ ซง่ึ ทา่ นท้งั หลายไดก้ ระท�ำ
แกค่ นใดคนหนึง่ ในพวกพี่นอ้ งของเราน้ี ถึงแมจ้ ะตำ่� ต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำ� แก่เราดว้ ย’”
ในความหมายน้ี การรับใช้พระเจ้าจึงเป็นการปฏิบัติต่อผู้ขาดแคลนด้วยความรักและความกรุณา
มิใชเ่ ปน็ เพยี งการสวดภาวนาเพยี งอยา่ งเดยี ว เรอ่ื งนน้ี กั บญุ ยากจนไดน้ พิ นธไ์ วใ้ นจดหมายทม่ี ไี ปถงึ ครสิ ตชน
ในยคุ แรก (ซงึ่ อยใู่ นพระคมั ภรี ภ์ าคพนั ธสญั ญาใหม)่ วา่ การกลา่ ววา่ ตนมคี วามเชอื่ ในพระเจา้ ตอ้ ง
ควบคู่ไปกบั การปฏิบัติ เราลองมาพิจารณาขอ้ ความในจดหมายของทา่ น ซึง่ มขี อ้ ความดังนี้