Page 19 - การวิจัยทางการวัดและประเมินผลการศึกษา
P. 19

12-9

เรื่องท่ี 12.1.1 แนวคดิ เก่ียวกับโมเดลสมการโครงสรา้ ง

สาระสงั เขป

       การวิจัยยุคใหม่แตกต่างจากโมเดลการวิจัยยุคก่อนท่ีเพ่ิมการวิเคราะห์ตัวแปรแฝง และตรวจสอบ
ความสอดคล้องของตัวแปรในภาพรวมท้ังโมเดล ท�ำให้เกิดสถิติข้ันสูง คือสมการโครงสร้าง ส�ำหรับ
การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ โปรแกรมทางสถิติที่ใช้การวิเคราะห์ ได้แก่ โปรแกรม LISREL โปรแกรม
AMOS และโปรแกรม Mplus เป็นต้น

1.	 โมเดลสมการโครงสรา้ ง

       โมเดลสมการโครงสร้างหรือ SEM (Structural Equation Model) หมายถึง สถิติข้ันสูงใช้ในการ
ตรวจสอบว่าโมเดลที่พัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีเก็บรวบรวมจากกลุ่มตัวอย่าง
หรือไม่ ดังน้ันจึงต้องมีการสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรข้ึนมาก่อน โมเดลที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจะมี
ความสมเหตุสมผลหรือไม่น้ัน ขึ้นอยู่กับทฤษฎีท่ีน�ำมาใช้ ข้อมูลน�ำเข้าในการวิเคราะห์ต้องเป็นความสัมพันธ์
หรือความแปรปรวนร่วมระหว่างตัวแปรสังเกตได้ (ที่เก็บรวบรวมจากกลุ่มตัวอย่างหรือกลุ่มเป้าหมายในการ
วิจัย) กระบวนการวิเคราะห์ท้ังตัวแปรสังเกตได้และตัวแปรแฝง โดยที่ตัวแปรแฝงวัดได้จากตัวบ่งช้ีที่เป็น
ตวั แปรสังเกตได้ และมกี ารคำ� นวณคา่ ดชั นที ่ใี ชต้ รวจสอบความสอดคล้องของโมเดลท่พี ัฒนาข้นึ กบั ขอ้ มลู เชงิ
ประจักษ์ บางคร้ังเรียกสถิตินี้ว่า โมเดลการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (covariance analysis model)

       ตัวแปรแฝง (latent variable or unobserved variable) เป็นตัวแปรเชิงคุณลักษณะ หรือตัวแปร
ที่เป็นนามธรรม ตามแนวคิด ทฤษฎี เช่น ภาวะผู้น�ำ  ประสิทธิผลของการจัดการศึกษา ความรับผิดชอบ
ความสามารถในการแข่งขัน เป็นต้น ตัวแปรแฝงเป็นตัวแปรที่ไม่มีความคลาดเคลื่อนในการวัด ตัวแปรแฝง
จึงต้องอธิบายด้วยชุดของตัวบ่งช้ีที่เป็นตัวแปรสังเกตได้ (observed variable)

       จุดแข็งของโมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) คือ การผ่อนคลายข้อตกลงเบื้องต้นทางสถิติ ปกติสถิติ
วเิ คราะหถ์ า้ ยง่ิ เปน็ สถติ ขิ น้ั สงู จะยงิ่ มขี อ้ ตกลงเบอื้ งตน้ ทางสถติ มิ ากขน้ึ แตส่ ถติ วิ เิ คราะห์ SEM กลบั มขี อ้ ตกลง
เบอื้ งตน้ ทางสถติ นิ อ้ ยลง การทสี่ ถติ วิ เิ คราะห์ SEM นาํ เทอมความคลาดเคลอ่ื นมาวเิ คราะหด์ ว้ ย ทาํ ใหส้ ามารถ
วิเคราะห์ข้อมูลกรณีท่ีเทอมความคลาดเคล่ือนสัมพันธ์กันได้ (ต่อมาใช้เป็นแนวทางในการปรับโมเดล) โมเดล
การวิเคราะห์ไม่จําเป็นต้องเป็นโมเดลอิทธิพลแบบบวกและมีอิทธิพลทางเดียว อาจเป็นโมเดลแบบคูณและ
มีอิทธิพลย้อนกลับได้

       โมเดลสมการโครงสร้างหรือ SEM แตกต่างจากสถิติอ้างอิงท่ัวไป เนื่องจากเป็นสถิติขั้นสูงใช้ในการ
ตรวจสอบว่าโมเดลท่ีพัฒนาขึ้นมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ท่ีเก็บรวบรวมจากกลุ่มตัวอย่าง
หรือไม่ ต้องมีการสร้างโมเดลความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรข้ึนมาก่อน สามารถวิเคราะห์ได้ทั้งตัวแปรสังเกต
ได้และตัวแปรแฝง และมีการค�ำนวณค่าดัชนีที่ใช้ตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลท่ีพัฒนาข้ึนกับข้อมูล
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24