Page 16 - ไทยศึกษา
P. 16

๕-6 ไทยศกึ ษา
       ในทางการเมืองการปกครอง พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของอาณาจักร ทรงเป็นเจ้าชีวิต

กลา่ วคอื ทรงมพี ระราชอ�ำนาจเหนอื ชวี ติ ของคนทกุ คนในสงั คม ไมว่ า่ บคุ คลนน้ั จะอยใู่ นฐานะสงู ต�่ำเพยี งใด
ทรงเป็นที่รวมและท่ีมาแห่งอ�ำนาจและกฎหมาย ทรงเป็นผู้รักษากฎหมายและความยุติธรรมท้ังปวง ทรง
ปกครองอาณาจกั รโดยมพี วกมลู นายเปน็ ผชู้ ว่ ย พวกนจี้ ะเปน็ ตวั จกั รกลในการบรหิ ารงานราชการ นอกจากนนั้
ยังทรงด�ำรงต�ำแหน่งจอมทัพของอาณาจักร บังคับบัญชาทหารทั้งปวง รวมท้ังทรงมีหน้าท่ีในการต่อสู้
อรริ าชศตั รปู อ้ งกนั พระราชอาณาจกั รเพอื่ ใหป้ ระชาชนอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ และในทางทฤษฎที รงเปน็ เจา้ ของทดี่ นิ
ทงั้ หมดในราชอาณาจักร จึงเรยี กพระองคใ์ นอีกนามหนึ่งวา่ พระเจ้าแผ่นดิน

       ในทางสังคม พระองค์ทรงเป็นผู้น�ำสังคม ทรงมีฐานะสูงสุดและทรงเป็นจุดสุดยอดของสังคม
นอกจากนนั้ ยงั ทรงเปน็ องคอ์ ปุ ถมั ภพ์ ทุ ธศาสนา ทผี่ คู้ นในอาณาจกั รไมว่ า่ จะเปน็ ชนชน้ั ใดสว่ นใหญจ่ ะนบั ถอื
เลื่อมใสศรัทธา พุทธศาสนาจึงเป็นสายใยท่ีเชื่อมระหว่างชนช้ันปกครองและผู้อยู่ใต้ปกครอง รวมทั้งช่วย
จรรโลงเอกภาพของสงั คมไทยในสมัยจารีตด้วย

       ในแง่สถาบัน สถาบันพระมหากษัตรยิ ์เปน็ หลกั สำ� คัญในการปกครองอาณาจักร เป็นเนอ้ื หาสาระ
สำ� คัญของรัฐ รัฐและพระมหากษตั รยิ ์มคี วามแนบเนอ่ื งเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกัน ดังคำ� กลอนท่วี า่

                        “อันพระนครทง้ั หลาย ก็เหมือนกับกายสงั ขาร
                     กษัตรยิ ค์ อื จิตวญิ ญาณ เปน็ ประธานแก่ร่างอนิ ทรยี ”์
       ๒.	เจ้านาย คอื พวกพระญาตติ ่างๆ รวมทง้ั พระราชโอรส พระราชธดิ า ของพระเจา้ แผน่ ดนิ เปน็
ชนช้ันที่มีการสืบสายเลือด พวกเจ้านายเป็นชนช้ันที่ได้รับเกียรติยศและได้รับอภิสิทธิ์มาแต่ก�ำเนิด แต่
อำ� นาจของเจา้ นายแตล่ ะพระองคจ์ ะไมเ่ ทา่ เทยี มกนั จะมมี ากหรอื นอ้ ยขนึ้ อยกู่ บั ตำ� แหนง่ ทางราชการ กำ� ลงั
คนในความควบคมุ และความโปรดปรานทพ่ี ระมหากษัตริย์ทรงมีตอ่ เจา้ นายพระองค์นัน้
       ยศของพวกเจา้ นายแบ่งไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คอื สกุลยศ เป็นยศทเ่ี จ้านายแตล่ ะพระองค์ได้รับมา
แตก่ ำ� เนดิ เราไมท่ ราบวา่ สงั คมจารตี ของไทยกอ่ นสมยั สมเดจ็ พระเอกาทศรถ (พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๕๓) มกี าร
แบง่ สกุลยศกนั อยา่ งไร สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำ� รงราชานุภาพ ทรงสนั นิษฐานวา่ ในสมยั
อยุธยาตอนต้นคงจะเรยี กพวกเจา้ นายว่า เจ้า เชน่ เจา้ อ้ายพระยา เจ้ายพี่ ระยา เจ้าสามพระยา แต่นับจาก
สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถเป็นต้นมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ สกุลยศของเจ้านายแบ่งเป็น ๓ ช้ัน คือ
เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และ หม่อมเจ้า เมื่อสืบมาถึงหม่อมเจ้าแลว้ ก็ถือวา่ ลกู หลานท่สี ืบต่อมามใิ ชเ่ จา้
       ส่วนยศอกี ประเภทหนง่ึ คอื อิสริยยศ เปน็ ยศท่เี จ้านายได้รบั พระราชทานเนอื่ งจากไดร้ บั ราชการ
แผน่ ดินช่วยเหลือพระมหากษตั ริย์ ต้งั แตส่ มัยสมเดจ็ พระรามาธิบดที ่ี ๑ (พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๑๒) เปน็ ตน้ มา
จนถงึ สมยั สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙) อิสรยิ ยศที่เจา้ นายได้รับพระราชทานจะขึน้
ต้นด้วยค�ำว่า พระ เช่น พระราเมศวร พระบรมราชา เจ้านายฝ่ายชายที่ได้รับพระราชทานอิสริยยศ
พระได้รับพระราชทานเนื่องจากเป็นเจ้าครองเมือง แม้ว่าต้ังแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.
๒๑๓๓-๒๑๔๘) เปน็ ตน้ มาจะเลกิ ประเพณีการส่งเจา้ นายไปครองเมอื ง แต่อิสรยิ ยศ พระ ก็ยงั คงใชก้ ันอยู่
มาจนถึงสมัยสมเดจ็ พระเจ้าปราสาททอง
   11   12   13   14   15   16   17   18   19   20   21