Page 19 - ไทยศึกษา
P. 19
สงั คมไทย ๕-9
คณะสงฆป์ ระกอบดว้ ยสมาชกิ ๒ พวก คอื พวกทบ่ี วชตลอดชวี ติ ซง่ึ นบั เปน็ แกนหลกั ของคณะสงฆ์
พวกนม้ี จี ำ� นวนไมม่ าก แตม่ บี ทบาทสำ� คญั ในการใหค้ วามชว่ ยเหลอื สงเคราะหแ์ กป่ ระชาชนในทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ
ส่วนอีกพวกหน่ึงเป็นพวกท่ีมาบวชช่ัวคราว ซึ่งอาจจะเป็นพวกไพร่ท่ีหนีเจ้าขุนมูลนายที่กดขี่มาบวชเป็น
พระเพื่อให้พ้นจากภัยอันตราย หรือพวกท่ีมาบวชเพื่อหาโอกาสเล่ือนฐานะทางสังคม พวกน้ีนับเป็นส่วน
ต่อเตมิ ท่ไี ม่คงที่ นอกจากน้ัน คณะสงฆย์ ังเปน็ กลุม่ คนทรี่ วมชนช้นั ต่างๆ ในสงั คมเขา้ ไว้ดว้ ยกนั เนือ่ งจาก
ไม่มีการกีดกันว่า ชนชน้ั ไหนจงึ จะบวชเปน็ พระสงฆ์ได้
คณะสงฆม์ กี ารตดิ ตอ่ อยา่ งใกลช้ ดิ ทง้ั กบั ชนชนั้ ปกครองและชนชน้ั ไพร่ ทำ� ใหไ้ ดท้ ราบความคดิ เหน็
และความตอ้ งการของทง้ั สองฝา่ ย จงึ เขา้ มาทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ คนกลางเชอื่ มโยงระหวา่ งชนชน้ั ทงั้ สอง นอกจากนนั้
ชนชัน้ พระสงฆย์ ังเปน็ กลมุ่ คนในสงั คมที่แตกตา่ งจากพวกเจ้านายและขุนนางท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ ตรงท่ีวา่ แม้
จะมีจ�ำนวนไม่มาก แต่ก็กระจายไปอยู่ตามท้องถ่ินต่างๆ ท่ัวพระราชอาณาจักร และได้มีส่วนช่วยเหลือ
สงเคราะหป์ ระชาชนในดา้ นตา่ งๆ ตลอดจนเปน็ ผอู้ บรมศลิ ปวทิ ยาการและเปน็ ทพ่ี งึ่ ทางดา้ นจติ ใจ วดั จงึ เปน็
ศูนยก์ ลางของประชาชนในชนบท และพระสงฆ์มฐี านะเป็นผนู้ �ำสังคมทางอ้อมท่ีสำ� คัญ
๕. ไพร่ หมายถงึ ราษฎรสามัญทั่วไปทงั้ ชายและหญิง ที่มิไดเ้ ป็นมลู นายและมิได้เปน็ ทาส ไพร่
ทุกคนจะต้องลงทะเบียนข้ึนสังกัดกับมูลนายซึ่งได้แก่ เจ้านายและขุนนาง คนส่วนใหญ่ในสังคมประมาณ
รอ้ ยละ ๘๐-๙๐ จะเปน็ ไพร่ ชนชน้ั ไพรซ่ ง่ึ มจี ำ� นวนคนอยมู่ ากนบั เปน็ พน้ื ฐานของสงั คมไทยสมยั จารตี และ
เปน็ ฐานอ�ำนาจที่สำ� คัญย่งิ ของชนชั้นปกครองท้งั ในดา้ นเศรษฐกิจ การเมือง และสงั คม
ในด้านเศรษฐกิจ พวกไพรน่ บั เปน็ แรงงานสำ� คญั ในการผลติ พชื ผลตา่ งๆ ทางการเกษตร และการ
เกบ็ ของปา่ ท่ีมคี า่ เพื่อส่งไปขายยังตลาดต่างประเทศ ทง้ั การเกษตรและการค้ากบั ตา่ งประเทศเป็นพน้ื ฐาน
ทางเศรษฐกจิ ของสังคมศักดินาในสมัยจารีต
ดงั นนั้ หากชนชนั้ ปกครองคนใดมไี พรอ่ ยใู่ นความควบคมุ มากกจ็ ะมฐี านะมง่ั คงั่ เมอ่ื มฐี านพลงั ทาง
เศรษฐกจิ ย่อมจะน�ำมาซงึ่ อ�ำนาจทางการเมือง กำ� ลงั คนหรอื แรงงานไพรจ่ งึ มคี วามสำ� คญั ท�ำใหเ้ กดิ กำ� ลัง
และดลุ แหง่ อำ� นาจทางการเมอื ง ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากเหตกุ ารณใ์ นประวตั ศิ าสตรว์ า่ การแยง่ ชงิ ราชสมบตั แิ ตล่ ะ
คร้งั จะตอ้ งซ่องสมุ ก�ำลงั คนหรือแรงงานไพรไ่ ว้เปน็ พลงั ทั้งดา้ นเศรษฐกจิ และการเมอื ง
ในทางสงั คม ชนชนั้ ปกครองทม่ี ไี พรอ่ ยใู่ นความควบคมุ มากยอ่ มเปน็ ผมู้ หี นา้ มตี า ไดร้ บั การยกยอ่ ง
และมฐี านะสงู ในสงั คม พวกไพรน่ อกจากจะมคี วามส�ำคญั ตอ่ ชนชน้ั ปกครองหรอื มลู นายทง้ั ในดา้ นเศรษฐกจิ
การเมอื ง และสงั คมแลว้ ยงั เปน็ แรงงานโยธาในการกอ่ สรา้ งและซอ่ มแซมสถานทตี่ า่ งๆ ในอาณาจกั ร รวม
ท้ังเป็นกองก�ำลังในยามศกึ สงครามดว้ ย
๖. ทาส เปน็ คนส่วนนอ้ ยของสงั คม ในปจั จุบนั นักประวตั ิศาสตร์บางกล่มุ เชื่อว่าสงั คมไทยมีทาส
ต้ังแต่สมยั สโุ ขทัย โดยในระยะเรมิ่ แรกคงเปน็ ทาสเชลยศกึ ในสมยั โบราณอยู่กนั เปน็ ชนเผา่ เม่อื มีการต่อสู้
รบพงุ่ กนั ฝา่ ยทร่ี บชนะกจ็ ะฆา่ คนของฝา่ ยทแ่ี พต้ ายหมด แลว้ เอาแตท่ รพั ยส์ มบตั ไิ ป ตอ่ มาเมอื่ มคี วามเจรญิ
มากขน้ึ มกี ารเพาะปลกู ตอ้ งการแรงงานคนมาชว่ ยท�ำการเกษตรจงึ เปลย่ี นวธิ ี เวลารบชนะกก็ วาดตอ้ นผคู้ น
มาเปน็ ทาส เรยี กกนั วา่ ทาสเชลยศึก ตามหลกั ฐานทมี่ อี ยู่ ทาสในสมยั อยธุ ยาและรตั นโกสนิ ทรแ์ บง่ กวา้ งๆ
ได้เปน็ ๒ ประเภท คอื