Page 17 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 17
สุนทรยี ศาสตร์ของภาพยนตร์ 1-7
ความหมายของสุนทรียศาสตร์
ในชว่ งแรก “สนุ ทรยี ศาสตร”์ เปน็ เพยี งประเดน็ ปญั หาสำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ของนกั ปรชั ญา ทศี่ กึ ษาถงึ
“ธรรมชาติของความงาม” ตามแบบท่ีคิดกันมาก่อนน้ันแล้วเกือบร้อยปี กระท่ังคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึงมี
ผสู้ ร้างสรรค์งานศลิ ปะเข้ามาช่วยขยายมมุ มองดา้ นสุนทรยี ศาสตรข์ องนักปรัชญาใหก้ วา้ งไกลมากย่ิงขึน้
“สุนทรยี ศาสตร์” คอื คำ� ทมี่ าจากภาษาสนั สกฤต คำ� วา่ “สนุ ทรยี ะ” แปลวา่ “งาม” คำ� วา่ “ศาสตร”์
แปลวา่ “วชิ า” รวมความแลว้ หมายถงึ “วิชาว่าด้วยความงาม” สว่ นคำ� ในภาษาองั กฤษ คำ� วา่ “Aesthetics”
มาจากการคิดทบทวนและก�ำหนดขอบข่ายเน้ือหาวิชาทางสุนทรียศาสตร์ใหม่ตามแนวทางปรัชญา ใน
ระหว่างปีคริสต์ศักราช 1750 โดยนักปรัชญาชาวเยอรมัน ชื่อ อาเล็กซานเดอร์ ก็อตธริบ โบมกาเต้น
(Alexander Gottlieb Baumgarten) ผเู้ ขียนหนงั สอื ช่อื “Aesthetica” ซงึ่ น�ำมาจากค�ำท่ใี ช้ในภาษากรกี
ว่า “aisthétikos” และตรงกบั ค�ำภาษาอังกฤษ วา่ “Aesthetics” หมายถงึ “sensory perception” หรือ
การรับรู้ทางประสาทรับความรู้สึก โบมกาเต้น เป็นผู้ต้องการสร้างศาสตร์ของความสวยงามบนพ้ืนฐาน
ของการรบั รทู้ างประสาทสมั ผสั โดยเนน้ ไปทป่ี ระสบการณใ์ นการรบั สมั ผสั โบมกาเตน้ กลา่ วอกี วา่ ความรู้
ที่เกิดจากอารมณ์หรือการได้รับสัมผัสกับสิ่งภายนอกน้ัน มีลักษณะตรงกันข้ามกับความรู้ตามหลัก
ตรรกศาสตร์ ซึ่งเห็นว่าความรู้เป็นเร่ืองภาวะของความจริง (truth) นักปรัชญาท่ัวไปยอมรับว่าหนังสือ
Aesthetica ของโบมกาเต้น เปน็ หนงั สอื เลม่ แรกท่ีใช้ คำ� ว่า “Aesthetics” (Macia M. Eaton, 1988,
p. 4)
เน้ือหาและจุดมุ่งหมายของสุนทรียศาสตร์ คือความพยายามที่จะยกระดับของการสร้างสรรค์
และความสนใจในศลิ ปะซงึ่ เปน็ ไปตามสญั ชาตญาณใหเ้ ปน็ พฤตกิ รรมทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยภมู ปิ ญั ญา วธิ กี ารคน้ หา
ความหมายของความงามนั้น นักสุนทรียศาสตร์มักเลือกใช้ 2 วิธี คือ ประการแรก ต้องพยายามค้นหา
คุณสมบัติของวัตถุที่ว่างามนั้นก่อน แล้วค่อยวิเคราะห์ว่าความงามน้ันสัมพันธ์กับคุณสมบัติอย่างอื่นของ
วตั ถอุ ยา่ งไรหรอื ไม่ ประการทสี่ อง พยายามคน้ หาสามญั ลกั ษณะหรอื ประสบการณอ์ นั เปน็ บรรทดั ฐานของ
การตัดสินทางจริยศาสตร์ให้ได้ก่อนแล้วจึงแยกแยะประสบการณ์ทางสุนทรียศาสตร์น้ันออกมาให้เห็นว่า
แตกต่างจากประสบการณ์ด้านอ่ืนอย่างไรบ้าง จึงเห็นได้ว่าวิธีการทางสุนทรียศาสตร์เป็นทั้งวัตถุวิสัยและ
จติ วิสยั (สุเชาวน์ พลอยชมุ , 2516, น. 1-2)
แมว้ า่ แนวคดิ ของสนุ ทรยี ศาสตรจ์ ะเปน็ เรอ่ื งของความงามเทา่ นน้ั แตเ่ รากไ็ มค่ วรจะคดิ ในลกั ษณะ
ดา้ นเดยี วทงั้ หมด เพราะในแวดวงของวชิ าตรรกศาสตรแ์ ละปรชั ญาทวั่ ไปยงั เกยี่ วขอ้ งกบั ชวี ติ ประจำ� วนั ของ
คนเรา ถ้าเปน็ เชน่ น้ัน “สุนทรียศาสตร์” กค็ วรจะเปน็ ศาสตร์ (science) หรืออารยธรรม (civilization)
ทเ่ี กย่ี วข้องกับมนษุ ยชาตอิ ยู่ด้วยน่นั เอง (บญุ ย์ นลิ เกษ, 2523, น. 2)
ขอบเขตของวชิ าสนุ ทรยี ศาสตรเ์ กย่ี วขอ้ งกบั หลายวชิ า แตก่ แ็ ตกตา่ งจากศลิ ปวจิ ารณ์ (art criticism)
และจติ วทิ ยาศลิ ปะ (psychology of art) ซงึ่ เปน็ สาขาวชิ าอสิ ระ แตท่ งั้ สองวชิ านเี้ ชอ่ื มโยงถงึ สนุ ทรยี ศาสตร์
ได้เช่นกัน ขอบเขตของศิลปวิจารณ์อยู่ที่งานศิลปะ คือ ท�ำการวิเคราะห์ทางด้านโครงสร้าง ความหมาย
และประเดน็ ปญั หาทางศลิ ปะ หรอื เปรียบเทยี บงานศิลปะกบั งานอ่นื ๆ รวมทัง้ ประเมนิ คุณค่างานศลิ ปะนนั้
ด้วยหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานบางอย่าง ส่วนทางด้านจิตวิทยาศิลปะนั้น เป็นการศึกษาถึงธาตุของศิลปะ
(elements of the arts) เน้นท่ีการตอบสนองด้านการรับรู้ของมนุษย์ด้วยการใช้สี เสียง เส้น รูปทรง