Page 22 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 22

1-12 ทฤษฎีและการวจิ ารณ์ภาพยนตร์
ถึงลักษณะตา่ งๆ ของสงิ่ นั้นดว้ ย ด้วยเหตนุ ้ี ศิลปะแต่ละช้นิ จึงเปน็ การเลียนแบบทเ่ี ช่ือมโยงไปถงึ สง่ิ สากล
(universal) ด้วย

       เราอาจสงั เกตไดว้ า่ แนวคดิ ทางดา้ นความงามของพลาโตแ้ ละอรสิ โตเตลิ แยกออกจากหลกั ศลี ธรรม
และหลกั รฐั ศาสตรไ์ ดย้ าก ดงั เชน่ ในงานนพิ นธข์ องอรสิ โตเตลิ หมวดรฐั ศาสตร์ (Politics) ทเ่ี กยี่ วกบั ดนตรี
ยังมีความเช่ือว่าศิลปะมีผลต่อบุคลิกภาพและแบบแผนทางสังคมของมนุษย์มาก และอริสโตเติลถือว่า
ความสุข (happiness) คือ จุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต และอริสโตเติลยังเช่ืออีกว่า ถึงแม้ศิลปะจะมี
ประโยชน์ตอ่ มนษุ ย์ คือ ท�ำให้มีความสขุ และผลของศิลปะจะท�ำให้คนเราเกดิ ความพึงพอใจก็ตาม แตผ่ ล
ของศิลปะแต่ละชนิดน้ัน ยังสร้างความพึงพอใจได้เหมาะสมตามแต่ชนิดของมัน น่ันคือ ความพึงพอใจ
ในศลิ ปะยังขึ้นอยู่กับรูปแบบของศิลปะนั้นๆ อกี ด้วย

       งานนิพนธอ์ ันย่งิ ใหญห่ มวดศิลปะ ในกวศี าสตร์ (Poetics) ของอรสิ โตเติล ซึง่ ถือเปน็ หลกั การใน
การละครไดแ้ สดงใหเ้ หน็ วา่ โศกนาฏกรรม (tragedy) เปน็ สง่ิ ทช่ี ว่ ยเรา้ อารมณค์ วามสงสารและความเกรงกลวั
สามารถทำ� ใหผ้ ดู้ ู (spectator) เกดิ ความรสู้ กึ ในลกั ษณะการเอาใจเขามาใสใ่ จเราและใชเ้ ปน็ สอื่ ทางศลิ ปะเพอื่
ปลูกฝังทางด้านความคิดแก่ผู้ดูได้ หมายความว่าในท่ีสุดของการแสดงละครแล้ว ผู้ดูคือผู้ได้รับการช�ำระ
ความขนุ่ ขอ้ งหมองใจ รสู้ กึ วา่ ได้รบั การผ่อนคลายทางอารมณ์ ความขุ่นมวั อยูใ่ นจติ ใจไดถ้ ูกระบายออกมา
จนเกดิ ความสขุ ทางใจและมสี ขุ ภาพทางกายดขี น้ึ ได้ แนวคดิ ในกวศี าสตรข์ องอรสิ โตเตลิ ยงั มอี ทิ ธพิ ลตดิ ตอ่
กันมากระท่ังถึงศตวรรษท่ี 17 ของการละครยุคคลาสสิกใหม่ การละครของฝร่ังเศส จนถึงทฤษฎีการ
ประพนั ธ์ในศตวรรษท่ี 19 ก็ยงั มสี ่วนสนบั สนนุ หลกั คำ� สอนของอริสโตเติลอยู่

       ก่อนถงึ ยุคสุนทรยี ศาสตร์สมยั ใหม่ ปรัชญากรีกยงั อยูใ่ นชว่ งภาวะชะงกั งัน มีนักปรัชญาคนสำ� คัญ
ชอื่ โพลตนิ สุ (Plotinus) ไดห้ นั มาพฒั นาลทั ธพิ ลาโตใ้ หม่ (Neo-Platonism) ขน้ึ โพลตนิ สุ เชอ่ื วา่ เบอื้ งหลงั
ของโลกแหง่ การสมั ผัสมีความจริงสูงสุดอยู่เพียงหนึง่ เดียวหรือเอกตั ตะ (The One) ซ่ึงอยูเ่ หนอื ความคิด
อนื่ ใด เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ สรรพสง่ิ และสนิ้ สดุ ในตวั เองและไมส่ ามารถอธบิ ายไดด้ ว้ ยคำ� พดู (จรญู โกมทุ รตั นานนท,์
2547, น. 52) ทศั นะทางสนุ ทรยี ศาสตรข์ องโพลตนิ สุ ยอมรบั วา่ ความงามมาตรฐานนน้ั มอี ยแู่ ละมกี ฎเกณฑ์
ตายตวั ความงามจะเกดิ ขน้ึ ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ สง่ิ นน้ั มคี วามสมดลุ กนั มสี ดั สว่ นทพี่ อเหมาะ และมรี ะยะสมั พนั ธก์ นั
อย่างถูกต้อง แต่สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาเป็นเพียงความงามภายนอกเท่าน้ัน เพราะแหล่งก�ำเนิดของ
ความงามทั้งหลายล้วนมกี ฎเกณฑ์ตายตวั อยู่แลว้ ความงามท่ีแทจ้ รงิ คือจิตวญิ ญาณ (soul) ซงึ่ ถอื ว่าเป็น
แก่นสารของชีวิต จิตวิญญาณนั้นท�ำให้เกิดการรวมกันเป็นเอกภาพ รูปแบบจึงมีความเป็นเหตุผลต่อกัน
และมคี วามงาม

       ศิลปะในยุคกลาง (Middle Ages) ของโลกตะวันตกส่วนใหญ่แสดงออกเกี่ยวกับหลักศาสนา
ศิลปะท่ีสร้างสรรค์ขึ้นมา โดยพื้นฐานน้ันมาจากแนวคิดของลัทธิเพลโตใหม่ เช่น เซนต์ โทมัส อไควนัส
(St. Thomas Aquinas) ไดเ้ สนอแนวคดิ วา่ ความงามไมใ่ ชส่ งิ่ ทมี่ อี ยเู่ หนอื โลก แตค่ วามงามเปน็ สง่ิ ทที่ ำ� ให้
เกิดความเพลิดเพลินใจและพอใจท่ีได้เห็น และเง่ือนไขของความงามน้ันเกิดจากความสมบูรณ์หรือความ
ไม่เสื่อมถอย (perfection or unimpairedness) เกิดจากสัดส่วนหรือความกลมกลืน (proportion or
harmony) และมคี วามเจดิ จา้ ใสสว่างหรือความกระจา่ งชัด (brightness or clarity)
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27