Page 26 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 26

1-16 ทฤษฎีและการวจิ ารณภ์ าพยนตร์
หันมาเน้นในเร่ืองรูปทรง ซ่ึงถือว่าเป็นสิ่งส�ำคัญ (ก�ำจร สุนพงษ์ศรี, 2523, น. 47) และจุดเชื่อมต่อที่
ใกลเ้ คยี งกบั วธิ กี ารทางศลิ ปะแบบไมแ่ สดงลกั ษณ์ (Nonrepresentational approaches) หรอื ศลิ ปะนามธรรม3
เชือ่ ในหลกั การทว่ี ่า ศลิ ปะกเ็ พ่อื ศลิ ปะ (art for art's sake) ซึ่งถอื ก�ำเนิดมาจากมมุ มองของค้านทใ์ นเร่ือง
ศลิ ปะทว่ี า่ “ศลิ ปะเปน็ สง่ิ ทม่ี เี หตผุ ลอยใู่ นตวั เพราะวา่ มนั กเ็ ปน็ อยา่ งนน้ั เอง” หลกั คำ� สอนนบ้ี างครงั้ กเ็ รยี กวา่
สุนทรยี นยิ ม (aestheticism) ซ่ึงได้รบั การสนับสนุนจากนกั วจิ ารณ์และจิตรกรในอังกฤษ สว่ นในฝร่ังเศส
ยงั มคี วามเชอ่ื เกย่ี วกบั ลทั ธสิ ญั ลกั ษณน์ ยิ ม (Symbolism) ทย่ี ดึ ถอื จนิ ตนาการ ความฝนั อารมณส์ ะเทอื นใจ
และเรื่องราวอันลี้ลับเป็นจุดส�ำคัญในการเริ่มต้นของการท�ำงานอยู่ (ก�ำจร สุนพงษ์ศรี, 2523, น. 84)
หลักการศิลปะเพ่ือศิลปะ (art for art’s sake) นับได้ว่าเป็นรากฐานส�ำคัญของงานศิลปะตะวันตกกลุ่ม
กา้ วหนา้ ตอ่ มากระทงั่ ถงึ ศตวรรษที่ 20 ชอ่ื นกั ปรชั ญาทมี่ อี ทิ ธพิ ลตอ่ ความคดิ ทางดา้ นสนุ ทรยี ศาสตร์ ตง้ั แต่
ศตวรรษที่ 19 ตน้ ศตวรรษที่ 20 ถงึ สนุ ทรยี ศาสตรใ์ นปจั จบุ นั ทส่ี ำ� คญั ไดแ้ ก่ เฮนรี่ เบอรก์ สนั ยอรจ์ สนั ตยานา
จอหน์ ดิวอ้ี คารล์ มารก์ ซ์ ซกิ มุนด์ ฟรอยด์ และไอ. เอ. ริชารด์

       เฮนรี่ เบอรก์ สัน (Henri Bergson) นกั ปรชั ญาฝรงั่ เศส คือผนู้ ยิ ามศิลปะวา่ ศิลปะโดยพนื้ ฐาน
เป็นส่ิงต้องอาศัยการรู้เอง โดยจิตเกิดความรู้แจ่มแจ้งชัดเจนโดยตรงกับความจริง ไม่ต้องอาศัยการอ้าง
เหตผุ ลหรอื ความรอู้ นั เปน็ ตวั กลาง หรอื อาจเรยี กวา่ เปน็ การรแู้ บบอชั ฌตั กิ ญาณ (intuition) ดว้ ยเหตนุ เี้ อง
ศลิ ปะจงึ เปน็ สงิ่ ทตี่ อ้ งคดิ ตดั ผา่ นคตสิ ญั นยิ มแบบเดมิ (conventional symbols) รวมทงั้ ความเชอ่ื เกยี่ วกบั
ผ้คู น ชวี ิต และสังคม แล้วมาเผชญิ หนา้ กบั ความจรงิ อยา่ งหนึ่งในตัวมันเอง

       ยอรจ์ สนั ตยานา (George Santayana) นกั ปรชั ญาชาวอเมรกิ นั ผทู้ ถี่ อื วา่ สนุ ทรยี ศาสตรค์ อื การ
มีความเข้าใจ (perceptive) เป็นเร่ืองของการมีประสบการณ์กับส่ิงหน่ึงสิ่งใดโดยเฉพาะ ความงามเป็น
ลักษณะแห่งความเพลดิ เพลนิ มีลักษณะพเิ ศษแน่นอน แตพ่ อท่ีจะแยกแยะให้เห็นความแตกต่างกบั ความ
เพลิดเพลนิ อ่ืนๆ ได้ แมส้ นั ตยานาจะถอื วา่ ความงามนนั้ มีสภาวะเป็นตัวตน แต่ตัวตนทว่ี า่ นก้ี เ็ ป็นสภาวะที่
เนอ่ื งมาจากรปู แบบ (form) วสั ดุ (material) และความเดน่ ชดั ในการแสดงออก (expression) ทางศลิ ปะ
มากกว่าการเป็นตัวตนของมันเอง เพราะหากเราขาดอารมณ์ท่ีจะไปสัมผัสกับส่ิงเหล่าน้ีแล้ว เราจะหา
ความงามไม่ไดเ้ ลย (บณุ ย์ นลิ เกษ, 2523, น. 103, 107)

       จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) นักปรัชญาและนักการศึกษาชาวเมริกัน ผู้เช่ือว่า ศิลปะคือ
ประสบการณ์อย่างหน่ึง แนวคิดทางสุนทรียศาสตร์ของดิวอ้ีนี้ ต้ังอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาปฏิบัตินิยม
ท่ีถือเอาผลทางการปฏิบัติมาก่อนแล้วเป็นมาตรวัดความเป็นจริง ดังน้ันศิลปะท่ีมีประโยชน์จึงเป็นศิลปะ
ทส่ี ามารถทำ� ใหช้ วี ติ และประสบการณธ์ รรมดาเปน็ สง่ิ ทมี่ คี วามหมาย เขา้ ใจงา่ ย และมชี วี ติ ชวี า งานสรา้ งสรรค์
ทางศลิ ปะและความมสี นุ ทรยี ะเปน็ สง่ิ ทไ่ี ปดว้ ยกนั และแยกออกจากกนั ไมไ่ ด้ ศลิ ปะจงึ มลี กั ษณะเปน็ ทงั้ สากล
ภาพและปจั เจกภาพในตวั เอง ปรากฏการณข์ องศลิ ปะจงึ ไมใ่ ชล่ กั ษณะทางวตั ถวุ สิ ยั และจติ วสิ ยั การเขา้ ถงึ
ศิลปะไดต้ อ้ งมกี ารรบั รแู้ ละเข้าใจภาวะของศลิ ปะทั้งในแงก่ ารมีประสบการณ์ มีสติปัญญา และสงิ่ แวดล้อม
ท่ีดี (วนดิ า ข�ำเขยี ว, 2543, น. 162-163)

         3 ศิลปะนามธรรม หมายถึง งานศิลปะท่ีมิได้มีความมุ่งหมายแสดงให้เห็นรูปทรงท่ีมีอยู่ตามธรรมชาติและไม่มีการเสนอ
เรอื่ งราวใหด้ รู ู้เรอื่ ง
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31