Page 28 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 28

1-18 ทฤษฎแี ละการวิจารณ์ภาพยนตร์
ใหค้ วามเพลดิ เพลนิ ใจในทางสุนทรยี ะ หรอื กล่าวไดอ้ กี อย่างหนึ่งว่า คอื ศลิ ปะมีทั้งประโยชน์และความงาม
สว่ นวจิ ติ รศลิ ป์ หมายถงึ ศลิ ปะทใี่ หค้ วามเพลดิ เพลนิ ในทางสนุ ทรยี ะแตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว วจิ ติ รศลิ ปอ์ าจแบง่
ย่อยออกเป็นประเภทตามชนิดของประสาทสัมผสั ได้ คอื

       1.	 ทัศนศิลป์ (Visual Art) คือ ศิลปะที่เห็นได้ด้วยตาได้ทุกส่วนอย่างชัดเจนขณะท่ีเรามองดู
แสดงถงึ ความสมั พนั ธ์กบั พืน้ ท่วี า่ งอยา่ งชดั เจน แต่ไม่มีการเคลือ่ นไหว ไดแ้ ก่ ภาพเขียน และรปู แกะสลกั

       2.	 โสตศิลป์ (Auditory Art) คือ ศิลปะที่รับรู้ได้ด้วยการฟัง แสดงจินตภาพออกมาเป็นเสียง
ไม่มสี ว่ นใดแสดงใหเ้ หน็ ถงึ ความสัมพนั ธ์กบั พ้นื ทที่ ่แี สดงออกมา ไดแ้ ก่ ดนตรี

       3.	 สัญลักษณ์ศิลป์ (symbolic Art) คือ ศิลปะที่น�ำเอาถ้อยค�ำต่างๆ เป็นสัญลักษณ์แทน
ความหมาย สงิ่ ทเ่ี ราสนใจในวรรณคดนี นั้ ไมใ่ ชส่ ญั ลกั ษณภ์ าพหรอื เสยี งทพ่ี ดู แตเ่ ปน็ ความหมายทเ่ี กดิ จาก
คำ� ทีเ่ ราอา่ นอยู่น้ันต่างหาก ไดแ้ ก่ วรรณคดใี นรปู ของกวนี ิพนธแ์ ละนวนิยาย

       4.	 ศิลปะผสม (Mixed Art) คอื การน�ำศิลปะสองชนดิ ขึน้ ไปมาผสมผสานกัน ได้แก่ การเตน้ ร�ำ
เปน็ การผสมผสานกนั ระหวา่ งทศั นศลิ ปก์ บั ดนตรี ละครเปน็ การผสมผสานกนั ระหวา่ งทศั นศลิ ป์ ดนตรี และ
วรรณคดี ภาพยนตร์เป็นศิลปะที่ผสมผสานกับศิลปะหลายแขนงและเป็นการผสมผสานลักษณะที่มีความ
สมบรู ณก์ วา่ ศลิ ปะชนดิ อน่ื กลา่ วคอื ในภาพยนตรน์ น้ั สว่ นตา่ งๆ ของภาพเหตกุ ารณม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั และ
ปรากฏแก่ผู้ดูอย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน และอย่างเป็นจริงเป็นจัง ในภาพยนตร์น้ันเราสามารถจัดเพทนาการ
(หรอื การทำ� ใหเ้ กดิ การรบั รทู้ างประสาทสมั ผสั - ผเู้ ขยี น) ทง้ั ในการดแู ละในการฟงั ใหเ้ รยี บรอ้ ย นา่ ดนู า่ ฟงั
กวา่ ศิลปะชนิดอน่ื (สเุ ชาวน์ พลอยชุม, 2516, น. 25-28)

       แต่อย่างไรตาม ในปัจจุบันน้ีเหล่าศิลปินกับนักสุนทรียศาสตร์ก็ยังเข้าใจจุดมุ่งหมายของศิลปะ
ไมเ่ หมอื นกนั ดว้ ยทศั นะท่ีแตกต่างกนั น้เี อง จึงก่อเกิดเป็นทฤษฎีทางศิลปะข้นึ หลายทฤษฎี ไดแ้ ก่ ทฤษฎี
การเลียนแบบ ทฤษฎรี ปู ทรง และทฤษฎกี ารแสดงออกซง่ึ ความรู้สึก

       ทฤษฎีการเลียนแบบ (Theory of Representation) เชอ่ื วา่ แกน่ สารของศิลปะ คือการเลียนแบบ
โลกภายนอก ทฤษฎีการเลียนแบบ คือทฤษฎีด้งั เดิมทีม่ ีมาตง้ั แต่สมยั กรกี ค�ำวา่ “การเลียนแบบ” ไม่ใช่
สง่ิ ทเ่ี ขา้ ใจไดง้ า่ ยนกั และทฤษฎนี กี้ ย็ งั เปน็ รากฐานทางความเชอ่ื ของนกั ปรชั ญายคุ ตอ่ มาอกี หลายๆ ทฤษฎี
กลา่ วโดยสรุปไดว้ า่ ความหมายของการเลยี นแบบ คอื

       1.	 การท�ำเสียงหรือท่าทางให้เหมือนกบั คนอื่น
       2.	 การทำ� สง่ิ ใหม่อีกส่ิงหนึง่ ให้เหมือนหรือคล้ายคลงึ กับต้นแบบจนดเู หมอื นเปน็ ส่งิ เดียวกัน
       3.	 การท�ำศลิ ปะขึ้นมาอกี ชิ้นหนึ่งใหด้ ูเหมือนหรือคลา้ ยคลงึ กบั ตน้ แบบซงึ่ ไม่ใชศ่ ิลปะ
       4.	 การทำ� สง่ิ หนง่ึ ขนึ้ มาใหมใ่ หเ้ ปน็ ตวั แทนหรอื สญั ลกั ษณข์ องอกี สงิ่ หนงึ่ ซง่ึ ไมใ่ ชศ่ ลิ ปะ ซง่ึ ทงั้ สอง
สิ่งอาจจะเหมอื นหรือไมเ่ หมอื นกนั กไ็ ด้
       ความหมายจากขอ้ 1 และ 2 ตรงกบั ค�ำว่า Imitation ส่วนความหมายในข้อ 3 และ 4 ตรงกับ
ค�ำว่า Representation แต่ความหมายในข้อ 3 ใกล้เคียงกับค�ำในภาษากรีก mimesis ตามทัศนะของ
พลาโตแ้ ละอรสิ โตเติลมากท่สี ุด (จรูญ โกมุทรัตนานนท์, 2539, น. 15-20)
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33