Page 23 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 23
สนุ ทรียศาสตร์ของภาพยนตร์ 1-13
ถงึ ยคุ ฟน้ื ฟศู ลิ ปวทิ ยา (Renaissance) ในยโุ รป ระหวา่ งศตวรรษท่ี 15 และ 16 เปน็ ยคุ ทง่ี านศลิ ปะ
หนั กลบั มาเปน็ เรอื่ งทางโลกมากยงิ่ ขน้ึ ปรชั ญาลทั ธมิ นษุ ยนยิ ม (Humanism) ไดร้ บั การยอมรบั อยา่ งกวา้ ง
ขวางย่ิงขน้ึ เพราะความเช่อื ท่ีว่า มนุษย์คอื ศนู ยก์ ลางแหง่ ความเจรญิ ท้ังหลาย ท�ำให้สุนทรียศาสตร์ในยุค
ฟน้ื ฟศู ลิ ปวทิ ยาพฒั นาไดก้ า้ วไปไดม้ าก แทนทจี่ ะเปน็ งานศลิ ปะทเี่ ครง่ ครดั อยกู่ บั หลกั ทางศาสนาอยา่ งเดยี ว
เท่านั้น ถึงศตวรรษท่ี 17 ได้ส่งผลให้เกิดแนวคิดปรัชญาสมัยใหม่ขึ้นมามากมายและมีนักปรัชญาเพ่ิมข้ึน
อีกหลายท่าน และส่วนใหญ่แล้วพยายามได้น�ำวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้เพื่อการค้นหาความรู้ทาง
ปรชั ญา ซงึ่ ตง้ั อยบู่ นพนื้ ฐานทางความคดิ ทส่ี ำ� คญั อยู่ 2 ประการ คอื ลทั ธปิ ระสบการณน์ ยิ ม (Empiricism)
มที ัศนะทีถ่ อื วา่ ความรู้เกดิ จากประสบการณ์ และลัทธิเหตผุ ลนิยม (Rationalism) ทเี่ ชื่อว่ามนุษยส์ ามารถ
หาความรบู้ างอยา่ งเกยี่ วกบั โลกไดโ้ ดยไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งผา่ นระบบประสาทสมั ผสั แตไ่ ดม้ าโดยการใชเ้ หตผุ ล
นักปรัชญาผู้บุกเบิกแนวคิดหลังน้ี คือ เรอเนส์ เดส์คาร์ตส์ (Rene Descartes) ชาวฝร่ังเศส ผู้เช่ือว่า
คณติ ศาสตรค์ อื ความรทู้ ค่ี นเราสามารถนำ� มาใชใ้ นการคน้ หาสจั ธรรมและนำ� มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นวชิ าปรชั ญาได้
(วนิดา ข�ำเขียว, 2543, น. 144-145)
ถงึ ยคุ สนุ ทรยี ศาสตรส์ มยั ใหม่ นกั ปรชั ญาคนสำ� คญั ชาวเยอรมนั ชอ่ื เอมานเุ อล คา้ นท์ (Immanu-
el Kant) คอื ผทู้ ส่ี นใจวเิ คราะหค์ วามงามวา่ เปน็ การตดั สนิ เกย่ี วกบั รสนยิ ม (taste) เพราะคา้ นทเ์ ชอื่ วา่ ความ
งามเป็นเร่อื งของความรู้สึก เป็นเร่อื งความพงึ พอใจของแตล่ ะบคุ คล และเป็นอัตวสิ ัย (subjective) ดังน้ัน
การจะตัดสินใจเรื่องความงาม จึงต้องอาศัยการเพ่งพินิจและการตรึกตรอง ค้านท์เช่ือว่าการท่ีเราเข้าถึง
ความงามของสิ่งใดส่ิงหนง่ึ ได้ นัน้ เป็นการทเี่ ราใส่อารมณ์ ความรูส้ กึ และความเข้าใจเขา้ ไปในส่งิ นั้น แล้ว
เกิดความพึงพอใจตามมาภายหลัง แต่การที่เราเห็นส่ิงหน่ึงส่ิงใดแล้วรู้สึกท่ึงในสิ่งน้ัน เป็นเพราะว่าเรา
ไมเ่ ข้าใจในสภาวะอันแท้จรงิ ของมัน จึงเกิดเปน็ ความประหลาดใจขึน้ มา (วนดิ า ขำ� เขยี ว, 2543, น. 148)
คา้ นท์ เป็นนักสุนทรียศาสตรส์ ายโรแมนติก จึงเช่ือว่าความงามอยู่เหนือภาวะท่ีเราจะอธิบายได้
การปรากฏสุนทรียภาพขึ้นมาในส่ิงหน่ึงส่ิงใดนั้น อยู่ในลักษณะของการค้นหาจุดมุ่งหมายอะไรสักอย่าง
ไมไ่ ด้ (purposiveness without purpose) การทเ่ี ราสรา้ งอารมณใ์ หเ้ ปน็ อนั หนงึ่ อนั เดยี วขน้ึ ในจติ ใจไดน้ น้ั
คงมใิ ชอ่ ะไรนอกจากอารมณท์ เ่ี นอ่ื งอยกู่ บั สนุ ทรยี ภาพนนั่ เอง แมค้ า้ นทจ์ ะยอมรบั วา่ ความงามนน้ั มี 2 สภาวะ
คอื ภาวะแหง่ ศลิ ปะ และภาวะแหง่ ธรรมชาติ แตภ่ าวะแหง่ ศลิ ปะทมี่ นษุ ยส์ รา้ งสรรคข์ น้ึ มานนั้ กอ่ ใหเ้ ราเกดิ
ความพิศวงได้มากกว่าธรรมชาติ (บุณย์ นิลเกษ, 2523, น. 79-81)
ปรัชญาของค้านท์น้ันสอดคล้องกับเฮเกล (Georg Friedrich Wilhelm Hegel) นักปรัชญาชาว
เยอรมนั อกี คนหนงึ่ ซงึ่ มชี วี ติ อยรู่ ะหวา่ งศตวรรษที่ 19 เฮเกล เชอ่ื วา่ ศลิ ปะ ศาสนา และปรชั ญา เปน็ รากฐาน
สำ� คญั ของการพฒั นาจติ วญิ ญาณใหส้ งู สง่ ความงามในธรรมชาตเิ ปน็ ทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทจี่ ติ วญิ ญาณของมนษุ ย์
นั้นค้นหา เพ่ือเป็นที่พอใจและถูกใจ หรือเพ่ือการฝึกหัดเกี่ยวกับจิตวิญญาณและอิสรภาพทางปัญญา
ธรรมชาติ คอื สว่ นหนงึ่ ทจ่ี ะชว่ ยใหเ้ ราเกดิ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะ เฮเกลเหน็ วา่ ความงาม
เปน็ ภาวะที่ปรากฏอยู่แมก้ ระทง่ั ในผลติ ผลตา่ งๆ มีส่วนประกอบให้เราเห็นทั้งในส่วนย่อยและสว่ นรวมโดย
ตวั มนั เอง โดยมจี ุดมงุ่ หมายอยา่ งใดอย่างหน่ึงทแ่ี นน่ อน (บุณย์ นลิ เกษ, 2523, น. 83) นอกจากนน้ั ยงั มี
นักปรัชญาชาวเยอรมันสายโรแมนติกอีกคนหน่ึงท่ีเชื่อว่า มีมโนคติของจักรวาลเหมือนมโนคติแบบของ
พลาโต้ ชอื่ อารเ์ ธอร์ โชเปนฮาว (Arthur Schopenhauer) โชเปนฮาว เช่ือในเรือ่ งความเปน็ นิรนั ดร และ