Page 21 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 21

สุนทรียศาสตรข์ องภาพยนตร์ 1-11
สิ่งท่ีเห็นอยู่น้ันเป็นเพียงเงาไม่ใช่ความจริง นักโทษท่ียังติดคุกอยู่ยังคงไม่เช่ือฟังค�ำพูดท่ีเพ่ือนมาบอก
อกี ทงั้ ยังคดิ ไปวา่ คนทม่ี าพดู น้ันเสยี สตไิ ป”

       นิทานเรอื่ งนีส้ อนใหเ้ รารู้วา่ คนสว่ นมากกเ็ หมอื นกับนกั โทษทห่ี ลงชื่นชมอย่กู ับ “เงา” ทเี่ ห็น ซึ่ง
เป็นส่ิงที่จ�ำลองมาจากแบบหรือมโนคติ การรับรู้ทางประสาทสัมผัสคือ “ทัศนะ” ไม่ใช่ “ความรู้” การท่ี
คนเราจะคน้ พบมโนคตหิ รอื แบบทแี่ ทจ้ รงิ ไดต้ อ้ งอาศยั การคดิ แบบวภิ าษวธิ ี (dialectic)1 จติ แบบวภิ าษวธิ ี คอื
กระบวนการรับรทู้ ม่ี เี ส้น 4 เสน้ มาค่ันเอาไว้ คือ จินตนาการ (imagining) ซึ่งเป็นขน้ั การรบั รู้ตาํ่ สุด ภาพ
เกิดจากจินตนาการ คือ ภาพเหมือนของวัตถุ คล้ายคนเห็นเชือกคิดว่าเป็นงู การเห็นจากจินตภาพอยู่
ต่ํากว่าการเห็นหรือการรับสัมผัสเอง ทัศนะที่ได้รับในระดับการรับรู้ (perception) น้ี พลาโต้ เรียกว่า
ความเชอ่ื (belief) สว่ นการคดิ คำ� นวณ (reasoning) โดยอาศยั สญั ลกั ษณแ์ ละการตง้ั สมมตฐิ านนนั้ พลาโต้
จดั ว่าเปน็ ความรู้อยา่ งหนึง่ ได้ ทัง้ นีเ้ พราะวา่ มนั ท�ำใหค้ นเราสามารถคน้ พบมโนคติบางหนว่ ยได้ พลาโตไ้ ด้
อธบิ ายเพม่ิ เตมิ อกี วา่ มคี วามรใู้ นสง่ิ สากลทอ่ี ยสู่ งู กวา่ การคดิ โดยอาศยั สญั ลกั ษณ์ คอื พทุ ธปิ ญั ญา (Perfect
Intelligence) ซง่ึ เปน็ สภาพของจติ ทรี่ บั รมู้ โนคตโิ ดยตรง และเปน็ อสิ ระจากสง่ิ ทร่ี บั รไู้ ดด้ ว้ ยประสาทสมั ผสั
หรอื กลา่ วไดว้ า่ คนเราเรยี นรอู้ ะไรบางอยา่ งจากแบบโดยตรงไดน้ อ้ ยมาก เพราะทกุ สงิ่ ทกุ อยา่ งทด่ี ำ� รงอยใู่ น
โลกนมี้ าจากประสบการณข์ องมนษุ ยท์ ม่ี มี ากอ่ นเปน็ ตน้ แบบทงั้ สน้ิ ในศลิ ปะกเ็ ชน่ กนั ศลิ ปะกเ็ ปน็ เพยี งการ
เลียนแบบปรากฏการณ์ทางวัตถุที่มีอยู่ในโลกหรือเป็นเพียงการตัดทอนเอาความเป็นจริงอะไรบางอย่าง
ออกไปเท่าน้ัน ศิลปิน คือผู้เลียนแบบจากประสบการณ์ทางวัตถุหรือเร่ืองราวที่ตนได้รับรู้มา หรือใช้
ประสบการณ์ของตนเป็นแบบอย่างเพ่ือสร้างสรรค์งานศิลปะเท่านั้น งานสร้างสรรค์ของศิลปินถือว่าเป็น
เพียงการเลียนแบบต่อกันมา ดังน้ันศิลปะจึงเป็นเพียงทางผ่านไปสู่ปรัชญา เพราะสิ่งท่ีเป็นความจริงใน
ตัวเองหรือที่เรียกว่า “แบบ” นั้นไมม่ ีอย่ใู นโลกน้ี แต่อยู่ในโลกแหง่ มโนคติ (world of idea) งานศิลปะจึง
ให้อะไรแก่เราไดแ้ ต่เพียง “ส่ิงที่เหมือนจริง” ไม่สามารถให้ “ความจริงแท้” แกเ่ ราได้ จึงอาจกล่าวได้ว่า
ความงามที่สมบรู ณ์ตามหลกั ของพลาโตน้ ั้น ไม่ใช่ส่ิงที่เรารับรูไ้ ดด้ ้วยประสาทสมั ผสั แต่ความงามเป็นส่ิงท่ี
ตอ้ งเพง่ พนิ จิ ด้วยเหตุผลหรือพุทธปิ ัญญา (พระราชวรมนุ ,ี 2544, น. 195)

       อรสิ โตเติล (Aristotle) นกั ปรชั ญาชาวกรกี ศิษยค์ นส�ำคญั ของพลาโต้ ไดอ้ ธิบายวา่ ศลิ ปะ คือ
การเลียนแบบ (imitation) แต่ก็ไม่ใช่ตามแบบอย่างที่พลาโต้คิด และอริสโตเติลได้อธิบายเพิ่มเติมว่า
คนเราสามารถเลียนแบบส่ิงหน่งึ สิ่งใดได้ เพราะการเลียนแบบ คือการเป็นสว่ นหนึง่ ของสิ่งนัน้ ศิลปิน คือ
ผสู้ กดั แบบออกจากเนอ้ื หาสาระบางสง่ิ ในเชงิ วตั ถวุ สิ ยั (objective) ของประสบการณ์ ศลิ ปนิ คอื ผกู้ ำ� หนด
ให้วัตถุหรือเน้ือหาสาระเปล่ียนรูปแบบไปเป็นอย่างอื่นได้ เช่น อาจเปลี่ยนรูปไปอยู่บนผืนผ้าใบ หรืออาจ
เปลย่ี นรปู ไปเปน็ หนิ ออ่ น ดว้ ยเหตนุ กี้ ารเลยี นแบบจงึ ไมไ่ ดเ้ ปน็ แตเ่ พยี งการลอกแบบจากตน้ แบบหรอื เปน็ เพยี ง
การคดิ สญั ลกั ษณข์ องสง่ิ นนั้ ขน้ึ มาเทา่ นน้ั แตก่ ารเลยี นแบบอาจหมายถงึ การเปน็ ตวั แทน (representation)

         1 วภิ าษวธิ ี (dialectic) เปน็ วธิ กี ารทโี่ ลกราตสี ใชใ้ นการถกเถยี งกนั มี 3 ขนั้ ตอน คอื 1) ทำ� ตวั เปน็ ผขู้ อความรู้ โดยตะลอ่ ม
ถามให้คู่สนทนาก�ำหนดข้อคิดหรือค�ำนิยามของตนให้ชัดเจน 2) ชี้ให้เห็นว่า จะต้องมีข้อสรุปบางอย่างจากค�ำนิยามดังกล่าวอย่าง
หลีกเลี่ยงไม่ได้ 3) ช้ีให้เห็นว่า ข้อสรุปตามข้อ 2 น้ัน ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงหรือขัดแย้งกับสามัญส�ำนึกหรือขัดแย้งกับข้อความ
ที่ยอมรับอย่แู ตก่ ่อน ดังนั้น ค�ำนิยามของผสู้ นทนาในขอ้ 1 จงึ ผดิ
   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26