Page 45 - การอ่านและการเขียนภาษาเขมร
P. 45
หลกั การเขยี น 2-35
เร่ืองที่ 2.2.1
วลแี ละประโยค
เม่ือได้เรียนรู้เรื่องคาและรู้จักหนา้ ทข่ี องคาแล้วจะสามารถส่ือสารได้ในระดับหน่ึง แต่ถ้านาคามา
เรียงร้อยต่อกันตามกฎเกณฑ์ของไวยากรณ์ก็จะเป็นการสร้างเน้ือความให้ครบถ้วนสมบูรณ์ย่ิงข้ึน และ
ทาให้เกิดประสิทธิภาพในการส่ือสาร การนาคามาเรียงต่อกันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ วลี
และประโยค ดังนี้
1. วลี
วลีเป็นส่วนท่ีเล็กกว่าประโยค และเป็นส่วนประกอบของประโยค เมื่อนาวลีประกอบในประโยค
แล้ว วลีอาจจะทาหน้าท่ีเป็นภาคประธาน หรือภาคแสดง หรือส่วนขยายก็ได้ วลีเป็นกลุ่มคาท่ีส่ือ
ความหมายท่ีไม่สมบรู ณ์ มีเพียงส่วนประธาน หรือสว่ นแสดงเทา่ นัน้
การแบ่งประเภทของวลีมีอยู่หลายทฤษฎีท่ีอธบิ ายแตกต่างกนั ในที่น้ีจะขอแบง่ วลีในภาษาเขมร
ออกเปน็ 2 ประเภท คอื นามวลี และกรยิ าวลี เนือ่ งจากเป็นส่วนทส่ี าคญั ของประโยค ดงั นี้
1.1 นามวลี คือ วลีท่ีมีคานามหรือกลุ่มคานามเป็นส่วนหลัก ประกอบด้วยส่วนหลักกับส่วน
ขยาย โดยส่วนใหญ่คานามหลักจะปรากฏอยู่ต้นวลี ตามด้วยส่วนขยายท่อี าจเปน็ คาบอกจานวน คาบอก
ลาดับ คาแสดงความเป็นเจ้าของ คาคุณศัพท์ ลักษณนาม เป็นต้น นามวลีทาหน้าที่เหมือนกับคานาม
สามารถเป็นประธานของประโยค หรือกรรมของประโยคก็ได้ ข้อสังเกตในการแยกนามวลีออกมาจาก
ประโยค คือนามวลีจะอยู่หน้าหรือหลังคากริยาของประโยค และสามารถพิจารณาจากคาว่า enH //
“น้ี” enaH // “นั้น” เปน็ คาท่ีบง่ บอกขอบเขตของนามวลีด้วย ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี
sYnc,arenH manpáacRmuHeRcnI RbePT.
//
“สวนหย่อมน้ี มดี อกไมห้ ลายชนดิ ”