Page 22 - แนวคิดทางการแนะแนวและทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยา หน่วยที่ 3
P. 22

3-12 แนวคิดทางการแนะแนวและทฤษฎีการปรึกษาเชิงจิตวิทยา

       2)	 กระบวนการท​ างส​ ติ​ปัญญา มี​ลักษณะ​ดังนี้
            2.1)		 การ​ซึมซับ​หรือ​การ​ดูด​ซึม (Assimilation) เป็นก​ระ​บวน​การ​ทาง​สมอง​ใน​การ​รับ​

ประสบการณ์​เรื่องร​ าว​และ​ข้อมูลต​ ่างๆ เข้า​มาส​ ะสม​เก็บไ​ว้ เพื่อ​ใช้​เป็นป​ ระโยชน์​ต่อไ​ป
            2.2)		 การ​ปรับ​และ​จัด​ระบบ (Accommodation) คือ​กระบวนการ​ทาง​สมอง​ใน​การ​ปรับ​

ประสบการณ์เ​ดิม​และ​ประสบการณ์ใ​หม่​ให้​เข้า​กัน เป็นร​ ะบบห​ รือ​เครือ​ข่าย​ทาง​ปัญญา​ที่​ตน​สามารถเ​ข้าใจ​ได้
เกิด​เป็น​โครงสร้างท​ างป​ ัญญาใ​หม่​ขึ้น

            2.3)		 การ​เกิด​ความ​สมดุล (Equilibration) เป็นก​ระ​บวน​การ​ที่​เกิด​ขึ้น​จาก​ขั้น​ของ​การ​ปรับ
หาก​การ​ปรับ​เป็นไ​ป​อย่าง​ผสม​ผสาน​กลมกลืนก​ ็​จะก​ ่อใ​ห้​เกิดส​ ภาพท​ ี่​มีค​ วาม​สมดุล​ขึ้น หากบ​ ุคคลไ​ม่ส​ ามารถ​
ปรับป​ ระสบการณ์​ใหม่​และป​ ระสบการณ์​เดิมใ​ห้เ​ข้าก​ ันไ​ด้ ก็จ​ ะเ​กิดภ​ าวะ​ความ​ไม่ส​ มดุลข​ ึ้น ซึ่งก​ ่อใ​ห้เ​กิดค​ วาม​
ขัดแ​ ย้ง​ทาง​ปัญญาข​ ึ้น​ใน​ตัวบ​ ุคคล

       หลักก​ ารแ​ นะแนว​และก​ ารป​ รกึ ษาต​ ามท​ ฤษฎพ​ี ฒั นาการท​ าง​สติ​ปัญญาข​ อง​เพยี เ​จท์
       1)	 ในก​ ารพ​ ัฒนาเ​ด็ก ควร​คำ�นึง​ถึงพ​ ัฒนาการ​ทางส​ ติป​ ัญญา​ของเ​ด็ก จัด​ประสบการณ์ หรือ​กิจกรรม​
ตา่ งๆ ใหเ​้ ดก็ อ​ ยา่ งเ​หมาะส​ มก​ บั พ​ ฒั นาการ ไมค​่ วรบ​ งั คบั ใ​หเ​้ ดก็ เ​รยี นใ​นส​ ิง่ ท​ ยี​่ งั ไ​มพ​่ รอ้ ม หรอื ย​ ากเ​กนิ พ​ ฒั นาการ​
ตามว​ ัย​ของ​ตน เพราะจ​ ะก​ ่อ​ให้​เกิด​เจตคติท​ ี่ไ​ม่​ดีไ​ด้

            1.1)		 การ​จัด​สภาพ​แวดล้อม​ที่​เอื้อ​ให้​เด็ก​เกิด​การ​เรียน​รู้​ตาม​วัย​ของ​ตน​สามารถ​ช่วย​ให้​เด็ก​
พัฒนาไ​ปส​ ู่​พัฒนาการข​ ั้นส​ ูงไ​ด้

            1.2)		 เด็ก​แต่ละค​ นม​ ีพ​ ัฒนาการแ​ ตกต​ ่างก​ ัน ถึงแ​ ม้อ​ ายุ​จะเ​ท่า​กัน แต่พ​ ัฒนาการ​อาจ​ไม่เ​ท่า​กัน
ดังน​ ั้นจ​ ึงไ​ม่ค​ วรเ​ปรียบเ​ทียบเ​ด็ก ควรใ​ห้เ​ด็กม​ ีอ​ ิสระท​ ี่จ​ ะเ​รียนร​ ู้แ​ ละพ​ ัฒนาค​ วามส​ ามารถข​ องเ​ขาไ​ปต​ ามร​ ะดับ​
พัฒนาการของ​เขา

            1.3)		 ในก​ ารส​ อนค​ วร​ใช้ส​ ิ่ง​ที่เ​ป็น​รูป​ธรรม เพื่อ​ช่วย​ให้เ​ด็กเ​ข้าใจล​ ักษณะ​ต่างๆ ได้ด​ ีข​ ึ้น แม้ใ​น​
พัฒนาการช​ ่วงค​ วามค​ ิดแ​ บบร​ ูปธ​ รรมเ​ด็กจ​ ะส​ ามารถส​ ร้างภ​ าพใ​นใ​จไ​ด้ แตก่​ ารส​ อนท​ ีใ่​ชอ้​ ุปกรณท์​ ีเ่​ป็นร​ ูปธ​ รรม
จะช​ ่วย​ให้​เด็ก​เข้าใจแ​ จ่มช​ ัดข​ ึ้น

       2)	 การ​ให้ค​ วามส​ นใจแ​ ละ​สังเกต​เด็กอ​ ย่าง​ใกล้​ชิด จะช​ ่วย​ให้ท​ ราบ​ลักษณะเ​ฉพาะต​ ัว​ของ​เด็ก
       3)	 ในก​ าร​สอน​เด็กเ​ล็กๆ เด็ก​จะ​รับ​รู้​ส่วนร​ วม (Whole) ได้​ดีก​ ว่าส​ ่วนย​ ่อย (Part) ดัง​นั้นค​ รูจ​ ึง​ควร​
สอน​ภาพ​รวม​ก่อน​แล้วจ​ ึง​แยกส​ อนท​ ี่​ละส​ ่วน
       4)	 ในก​ ารส​ อนส​ ิ่งใ​ดใ​หก้​ ับเ​ด็ก ควรเ​ริ่มจ​ ากส​ ิ่งท​ ีเ่​ด็กค​ ุ้นเ​คยห​ รือม​ ปี​ ระสบการณม์​ าก​ ่อน แล้วจ​ ึงเ​สนอ​
สิ่งใ​หมท่​ ีม่​ ค​ี วามส​ ัมพนั ธก์​ ับส​ ิง่ เ​ก่า การกร​ ะท​ �ำ ​เชน่ น​ ีช​้ ่วยใ​หก​้ ระบวนการซ​ ึมซับแ​ ละก​ ารจ​ ัดร​ ะบบค​ วามร​ ูข​้ องเ​ด็ก​
เป็นไ​ปด้วยด​ ี
       5)	 การ​เปิด​โอกาส​ให้​เด็ก​ได้​รับ​ประสบการณ์ และ​มี​ปฏิสัมพันธ์​กับ​สิ่ง​แวด​ล้อ​มมากๆ ช่วย​ให้​เด็ก​
ดูดซ​ ึมข​ ้อมูลเ​ข้าส​ ู่โ​ครงสร้างท​ าง​สติ​ปัญญาข​ อง​เด็ก​อัน​เป็นการส​ ่ง​เสริมพ​ ัฒนา​ทาง​สติ​ปัญญาข​ อง​เด็ก
       โดย​สรุป​แล้ว จิตวิทยา​กลุ่ม​การ​รู้คิด ได้​ให้​ความ​สนใจ​และ​มุ่ง​เน้น​การ​ศึกษา​เกี่ยว​กับ​กระบวนการ​
คิด การ​พัฒนาด​ ้าน​สติ​ปัญญา​ตั้งแต่ว​ ัย​เด็ก ซึ่ง​กระบวนการ​ดัง​กล่าว​เป็น​สิ่งท​ ี่​ไม่ส​ ามารถ​สังเกตไ​ด้ การศ​ ึกษา​
นั้น​จะ​ศึกษา​โดย​ใช้​กระบวนการ​ทาง​วิทยาศาสตร์ เป็นการ​ให้​ความ​สำ�คัญ​ใน​การ​ศึกษา​เกี่ยว​กับ​ปฏิสัมพันธ์​
   17   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27