Page 14 - ภาษาถิ่นและวรรณกรรมท้องถิ่นไทย
P. 14

8-4 ภาษาถิ่นและวรรณกรรมทอ้ งถิ่นไทย

                                     ความน�ำ

ภูมิหลังวรรณกรรมท้องถ่ินภาคอีสาน

       วรรณกรรมทอ้ งถน่ิ เปน็ เครอื่ งมอื ในการบนั ทกึ หรอื สบื ทอดความรู้ ความคดิ คา่ นยิ ม ประสบการณ์
ของผู้คนและสังคมในท้องถ่ินนั้นๆ ไว้ต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เป็นเสมือนภาพตัวแทนที่สะท้อนให้เห็นภาพ
วถิ ชี ีวิต ความเป็นอยู่ สังคม วฒั นธรรม ประเพณี พิธีกรรม คตคิ วามเชื่อและโลกทัศนข์ องผคู้ นและสังคม
ในทอ้ งถนิ่ นนั้ ๆ ไวต้ ามยคุ สมยั ทแ่ี ตง่ วรรณกรรมเรอ่ื งนนั้ ๆ แตล่ ะกลมุ่ ชนหรอื กลมุ่ ชาตพิ นั ธต์ุ า่ งกม็ วี รรณกรรม
เป็นของตนหรือมีการรับมาจากกลุ่มชาติพันธุ์อ่ืนที่ใกล้เคียงมาประยุกต์ปรับเปลี่ยนเพ่ือให้เข้ากับวิถีสังคม
วัฒนธรรมและรสนิยมของท้องถนิ่ ตนเอง

       ในการศกึ ษาวรรณกรรมทอ้ งถนิ่ นน้ั จำ� เปน็ ตอ้ งพจิ ารณาในระดบั กวา้ งและศกึ ษาในเชงิ ลกึ ตอ่ ไปอกี
เพื่อจะได้เห็นรูปแบบ แนวคิดของวรรณกรรมท้องถ่ินได้เด่นชัดยิ่งข้ึน เพราะเหตุว่าแต่ละท้องถ่ินย่อมมี
วฒั นธรรมยอ่ ยทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป ทผ่ี แู้ ตง่ ไดส้ อดแทรกวถิ สี งั คมวฒั นธรรมและรสนยิ มของทอ้ งถนิ่ ตนเอง
เขา้ ไป ซง่ึ ปจั จยั ในการสรา้ งสรรคว์ รรณกรรมทอ้ งถนิ่ นน้ั ๆ ทำ� ใหว้ รรณกรรมทอ้ งถน่ิ แตล่ ะทอ้ งถน่ิ มเี อกลกั ษณ์
และมคี วามโดดเด่นแตกต่างกันออกไป

       อน่ึง วรรณกรรมท้องถ่ินน้ัน นักปราชญ์แต่ละท้องถ่ินได้สร้างสรรค์ขึ้นมาเพ่ือเล่าหรืออ่านหรือ
ขบั ลำ� สกู่ นั ฟงั ในทอ้ งถนิ่ นนั้ ๆ ฉะนน้ั วรรณกรรมทอ้ งถนิ่ จงึ มลี กั ษณะเฉพาะทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ โดยมลี กั ษณะทสี่ ำ� คญั
ดังท่อี ดุ ม ร่งุ เรอื งศรี (2528, น. 17-18) กลา่ วไว้ คือ เป็นวรรณกรรมทีช่ าวทอ้ งถิ่นสรา้ งข้นึ มาใชก้ นั ในกลมุ่
ประชาคมน้นั ๆ ชาวทอ้ งถนิ่ เปน็ ผ้อู นุรักษ์ มีวดั เปน็ ศนู ย์กลางของวรรณกรรมทอ้ งถน่ิ ถึงแมจ้ ะเป็นนทิ าน
นยิ ายกเ็ ปน็ นทิ านคตธิ รรม ใชฉ้ นั ทลกั ษณท์ เ่ี ปน็ ทน่ี ยิ มกนั ในทอ้ งถน่ิ นน้ั ๆ และใชภ้ าษาภาษาของทอ้ งถนิ่ นน้ั ๆ

       ในสว่ นลกั ษณะเฉพาะท้องถ่นิ ของวรรณกรรมทอ้ งถ่นิ ภาคอีสาน ธวัช ปณุ โณทก (2525, น. 174)
กล่าวว่า มีลักษณะเฉพาะเป็นของตนเองมาก นั่นคือมีลักษณะเป็นวรรณกรรมของชาวบ้านอย่างแท้จริง
ชาวบ้านเป็นเจ้าของสิทธิ์ เป็นผู้สร้างวรรณกรรมเหล่าน้ัน โดยมีวัดเป็นสถาบันกลางเป็นท่ีเก็บรักษาและ
เผยแพร่ ชาวบ้านไดใ้ ชว้ รรณกรรมเป็นสือ่ ในการตอบสนองความเชอ่ื ของสงั คม ใช้เปน็ ตวั กำ� หนดรปู แบบ
การดำ� เนินชีวิต ความคิด คตคิ วามเช่ือ และอดุ มการณ์ของสงั คม ตลอดถงึ การใชเ้ ป็นเครือ่ งมือทางจติ ใจ
ในการตดั สนิ ความดคี วามชวั่ ของคนในสงั คม จงึ ทำ� ใหว้ รรณกรรมอสี านเปน็ เสมอื นกระจกเงาทสี่ ะทอ้ นภาพ
ของผคู้ นและสงั คมอสี านเปน็ อยา่ งดี นอกจากน้ี ธวชั ปณุ โณทก (2550, น. 69) ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ รปู แบบของ
วรรณกรรมอสี านวา่ มลี กั ษณะเฉพาะคอื มใี ชภ้ าษาถน่ิ อสี าน (ในกรณวี รรณกรรมกลมุ่ วฒั นธรรมไทย-ลาว)
บันทึกด้วยตัวอักษรท้องถ่ินภาคอีสาน ได้แก่ อักษรธรรมและอักษรไทยน้อย อักษรธรรมใช้บันทึก
วรรณกรรมทางศาสนา และตำ� ราวชิ าการ เปน็ สว่ นมาก สว่ นอกั ษรไทยนอ้ ยนยิ มใชบ้ นั ทกึ วรรณกรรม นทิ าน
ใช้ฉันทลักษณ์ท้องถ่ินของภาคอีสาน ซ่ึงมีโคลงสาร (หรือกลอนอ่าน) กาพย์ (หรือกาพย์เซิ้ง) และร่าย
(ฮา่ ย) ซง่ึ ฉนั ทลกั ษณท์ งั้ 3 นี้ เหมาะในการขบั ลำ� ทำ� นองเสนาะของทอ้ งถน่ิ อกี ดว้ ย และมเี นอ้ื หาสาระตา่ งๆ
ตอ้ งสอดคลอ้ งกับคตนิ ยิ มทอ้ งถ่นิ ภาคอสี าน
   9   10   11   12   13   14   15   16   17   18   19