Page 42 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 42
3-32 ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
(6) ภาพปานกลางของทา่ ทางการเคล่ือนไหว
(7) ภาพใกลท้ ใี่ บหนา้ แสดงถงึ การตดั สินใจ
(8) ภาพปานกลางของใบหน้าและแขนท่ขี วา้ งจานลง
(9) ภาพปานกลางของโต๊ะท่รี องรบั จาน
(10) ภาพใกล้ของชว่ งไหลท่ กี่ ้มลง
(11) ภาพปานกลางของโตะ๊ ทม่ี ีจานแตกกระจายอยู่
การแบ่งแยกซอยภาพและขยายเวลาของการกระท�ำดังกล่าวยังเพิ่มความรุนแรงให้แก่
สถานการณ์และสร้างความจดจ�ำได้ดี (Mast, 1976, pp. 200-201) และไอเซนสไตน์ก็มักชอบใช้การตัด
ต่อที่ยืดเวลาจริงออกไปเช่นน้ีเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ซ่ึงท�ำได้น่าประทับใจย่ิงในตอน The Odessa
Steps ที่ถือเป็นฉากท่ีมีช่ือเสียงด้านการตัดต่อแบบมองทาจมากที่สุด ไอเซนสไตนไ์ ดพ้ ดู ถงึ การตดั ตอ่ ของ
เขาในฉากนไี้ วด้ งั นี้
เรมิ่ แรกเปน็ ภาพใกลข้ องผคู้ นทแี่ ตกตนื่ อลหมา่ น จากนนั้ เปน็ ภาพไกลของฉากเดยี วกนั ภาพ
การเคลือ่ นไหวท่ีโกลาหล ถกู เสนอตามมาดว้ ยภาพของขาทหารที่เดนิ ลงบนั ไดมาอย่างเป็นระเบยี บ
จังหวะของภาพยนตร์เรม่ิ เร่งขึน้
และแล้วเมอื่ การเคลื่อนไหวลงขา้ งล่างด�ำเนนิ มาถงึ อารมณส์ งู สุด ในทนั ใดการเคล่อื นไหวก็
พลิกกลับ จากภาพของ ฝูงชนท่ีอยู่ด้านล่าง ต่อมาจะเห็นหญิงผู้เป็นมารดาแบกร่างบุตรชายที่ถูกยิง
เสยี ชวี ติ เดนิ ข้ึนมาอย่างโดดเดีย่ วคนเดียว นางเดินอยา่ งช้าๆ และขึงขังถมึงทึง
มวลชน รบี เร่ง อยู่ดา้ นล่าง
ผู้หญงิ คนเดียว เดนิ ขึ้นบันไดมาชา้ ๆ ทา่ ทางเอาเร่ือง
แต่เพยี งชั่วประเดย๋ี วเดยี วเท่าน้ัน แลว้ ก็ขา้ มไปเป็นภาพของการชุลมนุ ดา้ นลา่ ง
จังหวะของภาพยนตรเ์ ร่งขน้ึ อีก
ชอ็ ตของฝงู ชนทร่ี บี วง่ิ หนี ตามตดิ มาดว้ ย ชอ็ ตรถเขน็ เดก็ ทารกทถ่ี กู เขน็ ลงมาตามบนั ได ซงึ่
ไม่ได้แค่ให้จังหวะที่แตกต่างกันเท่านั้น แต่เป็นการก้าวข้ามไปถึงการให้ความหมายจากนามธรรมเป็น
รปู ธรรมด้วย น่นั คือ ทำ� ใหค้ นดูนึกไปถึงการเคลือ่ นตวั สดู่ ้านลา่ ง
ภาพใกล้ แลว้ ตามดว้ ยภาพไกล ภาพความรบี รอ้ นสบั สนของฝงู ชนตอ่ ดว้ ยภาพของแถวทหาร
ทเี่ ดนิ ลงเปน็ จงั หวะไดร้ ะเบยี บ การเคลอ่ื นไหวของคนวง่ิ ลงบนั ได คนหกลม้ สลบั กบั การเคลอ่ื นตวั ลงบนั ได
ของรถเข็นเด็ก ภาพด้านลา่ งตอ่ กบั ภาพดา้ นบน ภาพการระดมยิงจากปืนหลายกระบอกของทหารตอ่ ด้วย
ภาพการยิงเพียงนัดเดียว จากปืนใหญ่ของเรือรบโพเทมกินเพียงกระบอกเดียว (Bohn & Stramgren,
1987, pp. 144-145)
จะเห็นได้ว่าไอเซนสไตน์ได้ใช้ความแตกต่างขัดแย้งตรงข้ามกันของภาพมาตัดต่อชนเข้าด้วยกัน
(collision of images) เพอ่ื ให้เกิดพลังทางอารมณ์และความหมายตอ่ ผู้ชมภาพยนตร์