Page 50 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 50
8-40 ทฤษฎแี ละการวจิ ารณ์ภาพยนตร์
แก่นเรื่องในภาพยนตร์ยังเป็นเครื่องมือที่ส�ำคัญในการธ�ำรงรักษาอุดมการณ์หลักของสังคมดังจะ
เหน็ ไดจ้ ากงานของบงกช เศวตามร์ (2533) เรอ่ื งการศกึ ษาการสรา้ งความเปน็ จรงิ ทางสงั คมของภาพยนตร์
ไทย กรณีตัวละครหญิงท่ีมีลักษณะเบ่ียงเบนที่แสดงให้เห็นถึงการใช้แก่นความคิดหลักในการธ�ำรงรักษา
ค่านิยมเดิมในสังคม โดยใช้วิธีน�ำเสนอตัวละครในมุมกลับเป็นตัวละครหญิงท่ีเบี่ยงเบนไปจากค่านิยมการ
เป็นผู้หญิงท่ีดีของสังคม เพ่ือตอกย้ําค่านิยมการเป็นผู้หญิงท่ีดีให้แข็งแรงมากย่ิงข้ึนผ่านตอนจบของเรื่อง
เช่น แม่ท่ีเลือกรักษาช่ือเสียงของวงศ์ตระกูลมากกว่าความเป็นแม่ก็ต้องพบความเหงาเดียวดายของชีวิต
หรือผหู้ ญงิ ทีเ่ ลือกทีจ่ ะเปน็ ตัวของตวั เองมากกว่าท่ีจะตามสามสี ุดท้ายชีวิตคู่ก็จะมีปัญหา เช่นเดยี วกับงาน
ของขจติ ขวญั กจิ วสิ าละ (2553) ซง่ึ ศกึ ษาความหมายของการขดั ขนื อำ� นาจของสงั คมผา่ นการเลา่ เรอื่ งของ
ภาพยนตร์ไทย ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2513-2550 พบว่าแกน่ เร่อื งภาพยนตร์ทสี่ นับสนนุ อดุ มการณห์ ลกั นนั้ จะใช้
ตอนจบของเร่ืองในลักษณะท่ีลงโทษตัวละครที่ลุกข้ึนมาขัดขืนอ�ำนาจของสังคม ด้วยความตาย ชีวิตท่ีไม่
สมหวงั หรอื การใหก้ ลบั ตวั ทำ� ตามอดุ มการณห์ ลกั โดยลกั ษณะการลงโทษจะมรี ะดบั ความรนุ แรงทแ่ี ตกตา่ ง
ไปตามประเภทของผู้ขดั ขนื กล่มุ ต่างๆ โดยกลุม่ ท่ีถกู ลงโทษรุนแรงสดุ เป็นการจ�ำแนกแยกแยะ (exclude)
ออกไปจากสงั คม ไดแ้ ก่ กลมุ่ ผหู้ ญงิ ทถ่ี กู ทำ� ใหอ้ ยชู่ ายขอบจากพฤตกิ รรมทางเพศและคนตา่ งชาตติ า่ งศาสนา
ส่วนกลุม่ ทจี่ บแบบใหโ้ อกาสกลบั ใจ ได้แก่ กลมุ่ โสเภณี เมียนอ้ ย เมียเก็บ อนั ธพาล กล่มุ ที่สนับสนนุ การ
ต่อสู้ ขัดขืน แต่ก�ำหนดวิธีการว่าควรเป็นสันติวิธี ได้แก่ การต่อสู้ของชนช้ันล่าง ชนชั้นกลางที่ต่อสู้เพ่ือ
ชนชนั้ ลา่ ง กลมุ่ ทสี่ นบั สนนุ การตอ่ สู้ แตม่ ขี อ้ แมพ้ ว่ งมาวา่ อาจจะตอ้ งพบกบั ความผดิ หวงั ไดแ้ ก่ กลมุ่ ผหู้ ญงิ
เกง่ ทไ่ี มย่ อมจำ� นนตอ่ จารตี ของสงั คม ผหู้ ญงิ ทถ่ี กู ขม่ ขนื และคนบา้ สว่ นกลมุ่ ทภ่ี าพยนตรส์ นบั สนนุ ใหก้ าร
ตอ่ สปู้ ระสบความสำ� เร็จ โดยปราศจากการลงโทษใดๆ คอื การต่อสู้ของกลมุ่ เพศที่ 3 ในขณะท่ีภาพยนตร์
ขัดขืนอ�ำนาจของสงั คมนยิ มใชต้ อนจบแบบใหผ้ ทู้ ี่ขดั ขืนต่อสูเ้ อาชนะอดุ มการณ์หลกั ได้ในท่สี ดุ
ความขัดแย้ง
เร่ืองเล่าคือ การสานเร่ืองราวบนความขัดแย้ง ดังเช่นท่ี มูลเลอร์และวิลเล่ียมส์ (Muller &
Williams, 1985, pp. 42-43) ไดใ้ ห้ค�ำอธิบายไวใ้ น Introduction to Literature วา่ “โครงเรอ่ื งคือการ
ล�ำดับเหตกุ ารณ์หรือพฤตกิ รรมอยา่ งตอ่ เน่อื ง ซ่งึ เหตกุ ารณ์หรือพฤตกิ รรมนั้นจะมีการพัฒนาขึ้นท่ามกลาง
ความขัดแย้งต่างๆ” โดยความขัดแยง้ นนั้ สามารถแบง่ ออกได้เปน็ 3 ประเภท
- ความขัดแย้งระหว่างคนกับคน คือ การท่ีตัวละคร 2 ฝ่ายไม่ลงรอยกัน ซ่ึงก็คือพระเอก/
นางเอกกับผูร้ ้าย แตล่ ะฝา่ ยตอ่ ตา้ นกัน หรอื พยายามท�ำลายลา้ งกัน
- ความขัดแย้งภายในจิตใจ เป็นความขัดแย้งท่ีเกิดขึ้นภายในตัวละครจะมีความสับสนหรือ
ยุ่งยากล�ำบากใจในการตัดสินใจเพ่ือจะกระท�ำอย่างที่คิดไว้ เช่น ความรู้สึกขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ทางสังคม
การเลอื กกระทำ� ตามหน้าทีห่ รือความรกั ของตวั ละคร
- ความขัดแย้งกับพลังภายนอก เชน่ ความขดั แยง้ กบั สภาพแวดลอ้ มหรอื ธรรมชาตอิ นั โหดรา้ ย
เชน่ ตวั ละครเอกกบั ภยั สนึ ามิ หรอื อาจจะเปน็ ความขดั แยง้ กบั สภาพสงั คม เชน่ ชายหนมุ่ จากชนบททต่ี อ้ ง
เขา้ มาใช้ชวี ิตอยใู่ นเมอื ง