Page 93 - การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
P. 93
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อภาวะส ุขภาพข องป ระชากร 3-39
ในก ารแ ก้ป ัญหาดังกล่าว ต้องปรับเปลี่ยนแบบแผนการด ำเนินชีวิตเนื่องจากความเจ็บป ่วยจากโรคไม่ติดต่อ
เรื้อรังเกิดจากพฤติกรรมที่สามารถป้องกันได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา สิ่งมึนเมา สารเสพติด เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังต้องลดความเสี่ยงจากการบริโภค โดยเฉพาะลดการบริโภคอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ซึ่งมีอยู่
มากในอาหารขยะ (Junk Food) จากการสำรวจพบว่า คนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเท่าตัวในเวลา
20 ปี โดยเพิ่มจาก 12.7 เป็น 29 กิโลกรัมต่อคนต่อปี โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่มีการบริโภคขนมขบเคี้ยว
และน้ำอัดลมจนมีปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟันในอัตราที่สูงขึ้นจนน่าตระหนก ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง ตลอดจน
สถาบันการศึกษาจำเป็นที่จะต้องปลูกฝังค่านิยมเกี่ยวกับการบริโภคให้มากขึ้น นอกจากนี้ ในส่วนของความ
ปลอดภัยของอาหาร ยังเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะการใช้สารพิษและสารเคมีในภาคเกษตรกรรมซึ่งมีปริมาณ
มากที่สุด การบริโภคพืชผักผลไม้ ประชาชนจึงต้องทำความสะอาดเพื่อขจัดสารพิษ ที่นำไปสู่การเกิดโรคได้
การบริโภคอย่างถ ูกห ลักย่อมเป็นผลด ีต่อส ุขภาพ แต่ที่ล ะเลยไม่ได้ก็คือ การอ อกกำลังก าย แม้ว่า ในป ัจจุบันก ารเล่น
กีฬาและการอ อกกำลังกายของคนไทยจะดีขึ้นอ ย่างต่อเนื่อง แต่ยังนับว ่า อยู่ในอ ัตราท ี่ต่ำคือ มีก ารอ อกกำลังก ายเป็น
ประจำ เพียงร ้อยล ะ 34.7 เมื่อนำไปเทียบกับประเทศอ อสเตรเลีย อังกฤษ และสิงคโปร์ ซึ่งม ีอัตราก ารออกก ำลังกาย
ประจำมากกว่าครึ่งห นึ่งของประชากรทั้งหมด
การที่เยาวชนอ อกกำลังก ายน้อยลงทำให้ป ัญหาโภชนาการเกินเพิ่มมากขึ้น ในปี 2548 พบว่า มีเด็กโภชนาการ
เกินถ ึงร้อยล ะ 17 และคาดว ่า ในอีก 10 ปี ข้างหน้า 1 ใน 5 ของเด็กป ฐมวัยจะเป็นโรคอ ้วน นอกจากน ี้ ยังมีข ้อมูลท ี่
น่าเป็นห ่วงเนื่องจากเด็กในวัยเรียนอายุ 6-14 ปี ในกรุงเทพมหานครกว่า 1 แสนคนก ินอาหารฟ าสต์ฟ ู้ด (Fast Food)
ทุกวัน ทำให้ม ีอุบัติก ารณ์การเป็นโรคอ ้วนมากกว่าในภ าค อื่นๆ ประมาณ 3-5 เท่า และมีโรงเรียนไม่เกินร้อยล ะ 40 จัด
กิจกรรมออกกำลังก ายเสริมนอกจากช ั่วโมงพลศึกษา
การเปลี่ยนแปลงพ ฤติกรรมและวิถีก ารด ำเนินชีวิตที่มีผ ลต ่อภาวะส ุขภาพที่ส ำคัญมีดังนี้
1. การอ อกกำลงั กาย
การอ อกก ำลงั ก าย ขอ้ มูลท ีไ่ ดจ้ ากก ารส ำรวจพ ฤติกรรมก ารอ อกก ำลงั ก ายข องค นไทยในป ี 2550 โดยส ำนกั งาน
สถิติแ ห่งชาติพบว ่า คนทั้งป ระเทศกว่า 60 ล้านคน แต่มีจำนวนผ ู้ออกกำลังก ายท ั้งสิ้น 16.3 ล้านค น ซึ่งก ลุ่มเด็กถือ
เป็นกลุ่มที่ออกกำลังก ายม ากท ี่สุดถึงร้อยล ะ 73.1 เนื่องจากอยู่ในว ัยเรียน ขณะที่ว ัยทำงานมีอัตราก ารอ อกก ำลังกาย
น้อยที่สุด มีเพียง ร้อยล ะ 19.7 เท่านั้น เหตุนี้เองท ี่ทำให้ในเด็กวัยเรียน ร่างกายม ักแ ข็งแ รง ไม่ป ่วยไม่ไข้ แต่เมื่อโตขึ้น
ร่างกายที่ใช้งานยาวนานโดยขาดการดูแลด้วยการออกกำลังกาย จึงทำให้มีผลสัมพันธ์กัน ทั้งที่การออกกำลังกายถือ
เปน็ การส ร้างภ ูมคิ ุม้ กันโรคท สี่ ำคัญ แตค่ วามส มั พันธข์ องก ารอ อกก ำลงั ก ายข องป ระชากรก บั ภ าวะส ขุ ภาพข องป ระชาชน
อายุ 11 ปีขึ้นไป ทั้งหมด 55 ล้านคนพบว ่า มีผู้ไม่ออกกำลังก ายถึง ร้อยละ 68.5 ขณะที่ผ ู้ท ี่อ อกก ำลังก ายเป็นระยะเวลา
ตั้งแต่ 3 เดือนข ึ้นไปม ีความเสี่ยงต ่อการเจ็บป ่วย ร้อยละ 17.4 เท่านั้น เหตุผลแ ละปัจจัยห นึ่งข องการอ อกกำลังก ายคือ
สถานท ี่ส ำหรับอ อกก ำลังก ายท ี่ม ีแ รงดึงดูดให้น ่าอ อกก ำลังก าย แม้ว่า แท้จริงแ ล้วก ารอ อกก ำลังก ายส ามารถอ อกได้ท ุก
สถานที่ เพราะข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ประชากรส่วนใหญ่นิยมออกกำลังกายบริเวณบ้านถึง ร้อยละ
32.9 รองล งมาค ือ ร้อยล ะ 25.7 สนามกีฬาในสถานศ ึกษาแ ละร ้อยละ 9.6 บริเวณสถานศ ึกษา
นอกจากน ี้ กรมอ นามยั โดยก องอ อกก ำลงั ก ายเพือ่ ส ขุ ภาพ รว่ มก บั ส ำนกั ว จิ ยั เอแบค-เคเอสซ อี นิ เทอรเ์ นต็ โพลล์
(เอแบคโพลล์) มหาว ิทยาล ัยอ ัสส ัมชัญไดส้ ำรวจส ถานการณ์ก ารเคลื่อนไหวอ อกแรง/ออกกำลังก ายข องค นไทยท ีม่ ีอายุ
15 ปีข ึ้นไป ใน พ.ศ. 2547 - 2550 และ พ.ศ. 2552 สำหรับปี 2551 สำนักว ิจัยระบบส าธารณสุข (สวรส .) ดำเนินการ
สำรวจส ขุ ภาพป ระชาชนไทยโดยก ารต รวจร า่ งกาย ครัง้ ท ี่ 4 ซึง่ ในก ารส ำรวจด งั ก ลา่ วใชแ้ บบส มั ภาษณ์ (Global Physical
Activity Questionnaires; GPAQ) ของอ งคก์ ารอ นามยั โลก พบว า่ ค นไทยอ ายุ 15 ปขี ึน้ ไปท มี่ กี ารเคลือ่ นไหวอ อกแรง/
ออกก ำลังกายพอเพียงต ามเกณฑ์ มีแ นวโน้มลดลงจ ากร ้อยละ 80.9 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 79.4 ในปี 2552
ลิขสทิ ธ์ิของมหาวทิ ยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธิราช