Page 65 - พฤติกรรมมนุษย์และจริยธรรมทางเศรษฐกิจและธุรกิจ
P. 65
ความส ุขมวลร วมป ระชาชาติ 11-13
ในช ่วงป ลายศตวรรษที่ 19 แนวท างการพัฒนาเริ่มป รับเปลี่ยนจากเดิม ที่เน้นก ารส ร้างร ายได้ต่อห ัวเพื่อเพิ่ม
ความสุขมาเป็นแนวทางแก้ปัญหาความยากจน ความไม่รู้ และการเจ็บไข้ได้ป่วย เนื่องมาจาก การพัฒนาเศรษฐกิจ
และอุตสาหกรรม (industrial revolution) ในทวีปยุโรปที่ส่งผลให้สภาพสังคมมีความซับซ้อนมากขึ้น เมืองเริ่ม
ขยายตัวมากขึ้น ทำให้ความสงบสุขของชนบทมีน้อยลง รวมทั้งมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น ปัญหาหลักใน
ยุคด ังก ล่าว คือ ปัญหาความยากจน การว่างง าน การไม่รู้หนังสือ และโรคระบาด ซึ่งในเรื่องนี้ นักเศรษฐศาสตร์แ ละ
นักสังคมศาสตร์ยังได้พัฒนาตัวบ่งชี้ต่างๆ ขึ้น เพื่อแสดงระดับหรือขนาดของปัญหาที่มีอยู่ในสังคมว่ามีมากน้อย
แ คไ่ หน อาทิ อตั ราก ารร หู้ นงั สอื การค วบคมุ โรคแ ละจ ำนวนผ ปู้ ว่ ย จำนวนผ ทู้ อี่ ดอยากแ ละข าดป จั จยั ท จี่ ำเปน็ ข ัน้ พ ืน้ ฐ าน
ทีต่ ่อม าในร ะยะห ลังไดก้ ลายม าเป็น ความส นใจค ิดค้นพ ัฒนาต ัวบ ่งช ีใ้นเรื่องร ะดับร ายไดต้ ่อห ัว การกร ะจ ายร ายได้ และ
สวัสดิการสังคม ซึ่งน ับเป็นจุดเริ่มต้นของก ารวิจัยด้านค วามย ากจนแ ละความเท่าเทียมกันทางส ังคมในระยะต ่อม า
นอกจากน ี้ ยังได้ม ีพ ัฒนาการค วามเชื่อมโยงแ นวคิดค วามส ุขข องส ำนักอ รรถประโยชน์เข้าก ับค วามเชื่อค วาม
ศรัทธาท างศ าสนาโดยเฉพาะด ้านค ณุ ธรรมแ ละจ ริยธรรมโดยม องว า่ ความส ุขเกดิ จ ากค วามค ดิ แ ละก ารกร ะท ำท ีถ่ กู ต ้อง
ดงี ามห รือจ ริยธรรม อย่างไรก ็ตาม เนื่องจากในข ณะน ั้น สำนักอ รรถประโยชนย์ ังข าดค วามเข้าใจเกี่ยวก ับค วามส ุขอ ย่าง
แท้จริง เพราะมุ่งเน้นแต่ความสุขมวลรวมแต่ละเลยความสุขส่วนของปัจเจกชน จึงถูกแทนที่ด้วยแนวคิดเชิงปัจเจก
ชนน ิยม (individualism) คือ คนแ สวงหาความสุขให้กับตนเอง โดยเน้นไปในด้านวัตถุ ทำให้ส ังคมเริ่มม ีสภาพเป็น
สังคมว ัตถุนิยม (materialistic society) ส่งผ ลให้ค นแก่งแย่งแ ข่งขันเพื่อหาความส ุขให้ก ับตนเองมากเกินไป ละเลย
ความส ัมพันธ์ในส ังคม ความส นใจในเรื่องค ุณภาพช ีวิต (quality of life) ของม นุษย์แ ละก ารให้บ ริการส วัสดิการส ังคม
ซึ่งในท ้ายท ี่สุดแล้วคนและสังคมโดยรวมไม่ได้ม ีความส ุขเพิ่มขึ้น
ช่วงศตวรรษท ี่ 20 นักเศรษฐศาสตร์ในส ำนักอรรถประโยชน์หลายค น เช่น อมาตร์ยา เซน (Amartaya Sen)
เบอร์น าร์ด วิลเลี่ยม (Bernard Williams) จอห์น ฮาร์ซานยิ (John Harsanyi) และ เจ เอ เมอ รร์ลิส (J.A. Mirrless)
เป็นต้น ได้พ ัฒนาแ นวคิดเรื่องอ รรถประโยชน์เพื่อย กร ะดับค วามเป็นอ ยู่ข องค นในส ังคมอ ย่างจ ริงจังม ากข ึ้น เนื่องจาก
ประเทศต่างๆ ในแถบยุโรปในช่วงครึ่งปีแรกของศตวรรษที่ 20 มีการเติบโตทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี การเมืองมีสอง
ขั้วอำนาจระหว่างระบอบประชาธิปไตยและสังคมนิยมในยุคสงครามเย็น ประเทศที่ยึดหลักการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยส่วนใหญ่พัฒนาเศรษฐกิจสังคมได้ค่อนข้างดี เช่น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส และประเทศในกลุ่ม
สแกนดิเนเวีย เป็นต้น ซึ่งเป็นประเทศที่บุกเบิกและพัฒนาแนวความคิดเรื่องรัฐสวัสดิการในการจัดหาและพัฒนา
สวัสดิการสังคมของรัฐอ ย่างเต็มรูปแบบ โดยผ ่านก ระบวนการภ าษี เพื่อลดความท ุกข์และสร้างความส ุขในสังคม
ทฤษฎีของเซน ได้รับการพัฒนามาเป็นการวิพากษ์เศรษฐกิจแบบสวัสดิการ (welfare economics) และ
อรรถประโยชน์นิยม (utilitarianism) กระแสหลัก โดยพ ยายามชี้ให้เห็นว ่า ปัจเจกบุคคลมีพ ฤติกรรมอย่างไร ซึ่งตรง
กันข้ามกับแนวคิดเชิงนามธรรมของนีโอคลาสสิกเกี่ยวกับการทำกำไรสูงสุดของปัจเจกบุคคลและตลาดเสรีสมบูรณ์
แบบ ทฤษฎีความสามารถของเซนชี้ว่า ประชาชนไม่ได้เป็นเพียงสินค้าหรือทุนมนุษย์ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถ
ในการผลิตโดยผ่านทักษะ ความรู้ และความพยายามเท่านั้น หากยังเป็นประชาชนยังมีชีวิตที่พวกเขาให้คุณค่า
ซึ่งทำให้พ วกเขาสามารถมีทางเลือกได้
“วิธีการศึกษาเกี่ยวกับความสามารถ” ของเซน จัดทำขึ้นจากกรอบความคิดแบบหลายระดับบนรากฐาน
ของความสามารถซึ่งเป็น “ปัจจัยการผลิต” ที่ถูกควบคุมโดยปัจเจกบุคคล ความสามารถเป็นตัวกำหนดสิทธิในการ
แลกเปลี่ยนของปัจเจกบุคคล ว่าจะได้รับสินค้าใด และถูกควบคุมด้วยความสัมพันธ์ของสิทธิ์ สินค้าและบริการจริง
ที่ปัจเจกบุคคลได้มาและลักษณะของสินค้าเหล่านี้ ทั้งสินค้าเพื่อการบริโภค การได้รับทักษะ หรือการลงทุน ทำให้
ปัจเจกบุคคลมีขีดความสามารถ จากนั้นความสามารถของปัจเจกบุคคลจะทำให้บุคคลนั้นทำสิ่งต่างๆ ได้จริงๆ
เซนเรียก “การทำแ ละก ารเป็น” เช่นนี้ว ่า “การทำหน้าที่” ความอยู่ดีมีสุขของปัจเจกบุคคลจะสะท้อน “การท ำห น้าที่”
ลิขสทิ ธขิ์ องมหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช