Page 15 - ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ และแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์
P. 15
แนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสห ลักในป ัจจุบัน 13-5
เร่อื งท ี่ 13.1.1
บทบาทของป ริมาณเงินในทฤษฎเี ศรษฐศาสตรก์ ่อนเคนส ์
โดยท ัว่ ไปแ ลว้ ปริมาณเงิน (the quantity of money) ในร ะบบเศรษฐกจิ ห รอื “อปุ ทานเงิน” (money supply)
ไม่มีบทบาทส ำ�คัญม ากน ักในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ก่อนเคนส ์ อย่างไรก็ตาม เป็นท ี่เข้าใจกันในหมู่นักเศรษฐศาสตร์ย ุค
นั้นว ่า ปริมาณเงินม ีความสัมพันธ์โดยตรงก ับร ะดับร าคาในร ะบบเศรษฐกิจ และไม่มีอ ิทธิพลต่อผลผลิตที่แท้จริงหรือ
ภาคก ารผ ลิตแ ต่อ ย่างใด นัยห นึ่ง การเปลี่ยนแปลงปริมาณเงินม ีผ ลเพียงเป็นการเปลี่ยนแปลงร ะดับร าคาไปในท ิศทาง
เดียวกัน เช่น หากม ีป ริมาณเงินเพิ่มขึ้น ราคาส ินค้าในร ะบบเศรษฐกิจก ็จะสูงข ึ้น โดยป ริมาณผลผลิตท ี่แท้จริงแ ละก าร
จ้างงานไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนการเพิ่มขึ้นของผลผลิตที่แท้จริงและความมั่งคั่งนั้นเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของ
ปัจจัยต ่างๆ ในภาคการผ ลิต เช่น การพัฒนาเทคโนโลยี การเพิ่มผลิตภาพข องแรงงาน การค้นพ บแ หล่งท รัพยากรใหม่
เป็นต้น
ข้อคิดดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นผ ลมาจ ากส ิ่งแวดล้อมท างส ถาบัน คือ ระบบก ารเงินก่อนสงครามโลกครั้งท ี่หนึ่ง
เป็นระบบมาตรฐานทองคำ� ซึ่งธนบัตรจะต้องมีทองคำ�ในปริมาณที่แน่นอนหนุนหลังอยู่ ภายใต้ระบบนี้ รัฐบาลหรือ
ธนาคารกลางจะไม่มีอำ�นาจในการแทรกแซงปริมาณเงิน และระดับราคาในระบบเศรษฐกิจค่อนข้างมีเสถียรภาพใน
ระยะย าว ไม่มีป รากฏการณ์เงินเฟ้อส ูง ยกเว้นในช่วงว ิกฤต เช่น สงครามห รือภ ัยธรรมชาติ
อยา่ งไรก ต็ าม นกั เศรษฐศาสตรใ์ นช ว่ งต น้ ศ ตวรรษท ี่ 20 ไดค้ อ่ ยๆ พฒั นาแ นวคดิ ท ฤษฎที พี่ ยายามอ ธบิ ายค วาม
สัมพันธ์ร ะหว่างป ริมาณเงินก ับร ะดับร าคาอ ย่างเป็นร ะบบม ากข ึ้น เรียกว ่า ทฤษฎีป ริมาณเงิน (The Quantity Theory
of Money) แม้แต่เคนส์ก็ได้พัฒนาแบบจำ�ลองเศรษฐศาสตร์มหภาคโดยอาศัยแนวคิดของทฤษฎีปริมาณเงินเป็น
อ งค์ป ระกอบส ำ�คัญในห นังสือเรื่อง A Treatise on Money ปี 1930 ก่อนท ี่เคนส ์จ ะล ะทิ้งท ฤษฎีป ริมาณเงินแ ละห ันม า
พัฒนาท ฤษฎีใหม่ในห นังสือ The General Theory of Employment, Interest and Money ซึ่งพ ิมพ์ในป ี 1936
การพัฒนาทฤษฎีปริมาณเงินได้สะดุดหยุดลงแทบจะสิ้นเชิงนับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นัก
เศรษฐศาสตรไ์ด้ห ันม าพ ัฒนาแ นวค วามค ิดข องเคนส ์ข ึ้นเป็น ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ม หภาคในช ่วงท ศวรรษท ี่ 1950 และ
1960 และนำ�เอาทฤษฎีใหม่ม าป ระยุกต์ใช้ก ับป ัญหาเชิงนโยบายเพื่อป ้องกันมิให้เกิดภ าวะตกตํ่าทางเศรษฐกิจอีก นัก
เศรษฐศาสตร์ม หภาคในช ่วงน ี้ป ฏิเสธท ฤษฎีป ริมาณเงินย ุคก ่อนเคนส ์ และให้ค วามส ำ�คัญน ้อยม ากต ่อป ริมาณเงินห รือ
อุปทานเงิน ฉะนั้นน โยบายก ารเงินจึงแ ทบจ ะไม่มีบทบาทเลยในทฤษฎีม หภาคย ุคน ั้น ทั้งนักเศรษฐศาสตร์แ ละน ักการ
เมืองห ันม าใหค้ วามส ำ�คัญก ับน โยบายก ารค ลังค ือ ใชร้ ายจ ่ายข องร ัฐบาลแ ละก ารจ ัดเก็บภ าษเีป็นเครื่องม ือส ำ�คัญในก าร
รักษาระดับก ารจ ้างง านเต็มท ี่ในร ะบบเศรษฐกิจ
อยา่ งไรก ต็ าม ในส หรฐั อเมรกิ าก ารด �ำ เนนิ น โยบายก ารค ลงั แ บบข าดด ลุ คอื เพิม่ ร ายจ า่ ยร ฐั บาลแ ละล ดภ าษี เพือ่
รักษาร ะดับการจ้างงานเต็มที่เป็นเวลายาวนาน ประกอบกับรายจ่ายในสงครามเวียดนามแ ละการขาดดุลงบประมาณ
จำ�นวนมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาในช่วงทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 ทำ�ให้ปริมาณเงินในระบบ
เศรษฐกิจเพิ่มข ึ้นในอ ัตราส ูงอ ย่างต ่อเนื่อง ผลก ็ค ือ เกิดภ าวะเงินเฟ้อส ูงแ ละเรื้อรัง สถานการณ์ย ิ่งเลวร ้ายล งเมื่อร ะบบ
เศรษฐกิจถ ูกซ ํ้าเติมด ้วยว ิกฤตการณร์ าคาน ํ้ามันในป ลายท ศวรรษ 1970 ต่อต ้นท ศวรรษ 1980 เกิดป ัญหาท ั้งเงินเฟ้อส ูง
และอ ัตราว่างง านส ูงพร้อมกัน ซึ่งเรียกว ่า Stagflation