Page 28 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 28

9-18 ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยสี �ำ หรับนกั นเิ ทศศาสตร์
       1.7 	การหาเหตุผล ( Reasoning ) หรืออาจเรียกว่าเป็นการหาเหตุผลเชิงตรรกะ (Logic) การ

หาเหตุผลนี้เป็นแหล่งความรู้ส�ำเร็จของพวกเหตุนิยม (Rationalism) เป็นกระบวนการคิดที่มีการพัฒนา
ให้เป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น มีการผนวกรวมการคิดแบบนิรนัยหรืออนุมาน (Deductive method) ซึ่ง
หมายถงึ การคิดหาความสัมพันธ์อย่างมีเหตุผลระหว่างข้อเท็จจริงใหญ่กับข้อเท็จจริงย่อย เข้ากับแนวคิด
แบบอุปนัย หรืออุปมาน (Inductive method) คือการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วน�ำมาวิเคราะห์และหา
ข้อสรุป ซ่ึงภายหลังไดม้ กี ารพฒั นาใหเ้ ปน็ ระบบมากย่งิ ขน้ึ (วไิ ลลักษณ์ ต้งั เจรญิ , 2539: 31-32)

       ตวั อยา่ งของแนวคดิ แบบนริ นยั และอปุ นยั นนั้ สามารถเหน็ ไดใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั เชน่ เดก็ หญงิ แหวน
จะไปซ้ือส้ม ก็ขอแม่ค้าลองชิมส้มเพื่อจะได้รู้ว่าส้มหวานไหม แม่ค้าก็เชื้อเชิญให้ชิม เมื่อแหวนลองชิมดู
3 ลูก ที่พอใจในความหวาน จึงได้ตัดสินใจซ้ือกลับบ้าน 2 กิโลกรัม โดยเช่ือว่าส้มท่ีซ้ือมาหวานท้ังหมด
จากเหตุการณน์ ี้ แมค่ ้าเช่ือวา่ สม้ ท้ังหมดในตะกร้าหวานทกุ ลูก ดังน้ัน แม้วา่ แหวนจะชิมลกู ใดกต็ ้องหวาน
แนน่ อน ความเชอื่ ของแมค่ า้ ในลกั ษณะน้ี เรยี กวา่ นริ นยั นน่ั คอื นำ� สงิ่ บางอยา่ ง “ออกมา” จากสง่ิ ทง้ั หมด
เหมอื นกบั เมอ่ื เช่ือวา่ ส้มทุกลูกหวาน ดงั นน้ั ลกู ท่ีนำ� ออกมากต็ ้องหวาน ในขณะทีเ่ ดก็ หญิงแหวน เชอ่ื ว่า
เมอื่ ลองสมุ่ ชมิ สม้ จากตะกรา้ เพยี ง 3 ลกู  แลว้ หวานเปน็ ทน่ี า่ พอใจ ดงั นนั้ จงึ สรปุ วา่ สม้ ในตะกรา้ นน้ั ทงั้ หมด
กจ็ ะตอ้ งหวาน จงึ ตดั สนิ ใจซอื้ สม้ กลบั บา้ น ความเชอื่ ของเดก็ หญงิ แหวนในลกั ษณะนี้ เรยี กวา่ อปุ นยั นน่ั คอื
นำ� บางส่วน “เขา้ ไป” ในสิง่ ท้ังหมด เหมือนกบั การชิมส้มเพียง 3 ลกู ในตะกรา้ แล้วเชอื่ วา่ ส้มในตะกร้า
ทงั้ หมดหวาน แตว่ ธิ นี ก้ี ย็ งั มจี ดุ ออ่ นในแงท่ ว่ี า่ เปน็ การคน้ หาความรโู้ ดยไมไ่ ดก้ �ำหนดจดุ มงุ่ หมายไวแ้ นน่ อน
ความรทู้ ไี่ ดอ้ าจไมส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการได้ หรอื ถา้ หากขอ้ มลู ทร่ี วบรวมไดไ้ มม่ คี วามสมบรู ณเ์ พยี งพอ
ความรู้ท่ีไดอ้ าจไม่ถกู ต้อง

       1.8 	การแสวงความความรู้โดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) จะเหน็ ไดว้ า่ วธิ กี าร
แสวงหาความรู้ด้วยวิธีดังท่ีกล่าวมาท้ังเจ็ดวิธีข้างต้นล้วนแล้วแต่มีจุดอ่อนท่ีแตกต่างกันไปและบางวิธีก็ไม่
เป็นที่ยอมรับ เพ่ือขจัดจุดอ่อนต่างๆ และหาแนวทางท่ียอมรับ จึงมีการพยายามแสวงหาความรู้อย่างมี
ระบบระเบยี บและเปน็ ขนั้ ตอนตามกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การจะไดม้ าซงึ่ ความรดู้ ว้ ยวธิ กี ารนจ้ี �ำเปน็
จะตอ้ งมี “กระบวนการ” ซงึ่ จะขออธิบายรายละเอียดของกระบวนการเหลา่ นี้ในหวั ขอ้ ถัดไป

2. 	 ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์

       ดงั ทก่ี ลา่ วไปแลว้ วา่ การแสวงหาความรทู้ เ่ี ปน็ ทย่ี อมรบั และมคี วามเทย่ี งตรงมากทสี่ ดุ คอื การแสวง
ความความรโู้ ดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ซง่ึ การแสวงหาความรดู้ ว้ ยวธิ นี น้ั จำ� เปน็ จะตอ้ งมที กั ษะกระบวนการ
วิทยาศาสตร์ (science process skills) ซง่ึ หมายถึง ความสามารถ ความชำ� นาญ ในการแสวงหาความ
รู้ทางวิทยาศาสตร์ (วิไลลักษณ์ ต้ังเจริญ, 2539: 36-39) โดยสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี (สสวท.) ได้แบ่งออกเป็น 13 ทักษะ แต่เมอ่ื พิจารณาแล้วจะเหน็ ว่าสามารถจำ� แนกทักษะเหล่า
น้ีไดเ้ ปน็ 2 กล่มุ คือ ทกั ษะพ้ืนฐาน 8 ทักษะ และทกั ษะขนั้ บรู ณาการ 5 ทกั ษะ ดงั น้ี

       2.1 	ทักษะพ้ืนฐาน 8 ทักษะ ประกอบไปด้วย
            1) การสังเกต (Observing) คือ การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึง หรือหลายอย่าง

เข้าไปสมั ผสั โดยตรงกับเหตกุ ารณห์ รือวัตถุ เพ่อื หาขอ้ มูลซง่ึ เป็นรายละเอียดของส่งิ นน้ั ๆ เชน่ การใชจ้ มกู
ดมกลิน่ ดอกไม้ หรือการชมิ อาหารเพือ่ รับรรู้ สชาติ เปน็ ต้น
   23   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33