Page 39 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 39

ความรดู้ า้ นวฒั นธรรมและศาสนา 13-29
       สำ� หรบั คำ� อธบิ ายเกยี่ วกบั กำ� เนดิ ของศาสนาทเี่ ปน็ สากลมี 3 แนวทาง คอื การอธบิ ายตามแนวทาง
จติ วทิ ยา การอธบิ ายตามแนวทางสงั คมวทิ ยา และการอธบิ ายตามแนวทางแบบผสมผสานระหวา่ งจติ วทิ ยา
และสังคมวทิ ยา ดังนี้
       2.1 	การอธิบายตามแนวทางจิตวิทยา มาลนิ นอสกี้ (Malinnowski) เช่อื ว่าศาสนามหี นา้ ทห่ี ลกั
ในการลดความวิตกกังวล อารมณ์อันตึงเครียดจากความไม่แน่นอนของชีวิตและความกลัวความล้มเหลว
มนษุ ยจ์ งึ คดิ คน้ ระบบความเชอ่ื และพธิ กี รรมตา่ งๆ เพอ่ื ยดึ เหนย่ี วทางจติ ใจ เชน่ เดยี วกบั ทฤษฎขี อง แวน บาล
(Van Baal) (อ้างถึงใน นิยพรรณ วรรณศริ ิ, 2540: 263) ศาสนานัน้ เกิดจาก ความกลัว (ภยั ธรรมชาต)ิ
ทมี่ ีพลังมหาศาลเปน็ ตน้ ว่าภัยจากดนิ น�้ำ ลม ไฟ ซ่ึงนำ� อนั ตรายมาสชู่ ีวิตของมนษุ ย์และภัยเหลา่ นเ้ี ปน็ สิ่ง
ทม่ี นษุ ยไ์ มส่ ามารถหาคำ� ตอบไดว้ า่ เปน็ เพราะอะไร เกดิ จากอะไร ดงั นน้ั จงึ ไดส้ รา้ งศาสนาขนึ้ มาและเมอ่ื หา
ค�ำตอบไม่ได้จะเชื่อมโยงไปยังศาสนาเพ่ือเป็นค�ำตอบ โดยทุกอย่างเป็นการกระท�ำของธรรมชาติเบื้องบน
ท่ีมพี ลานุภาพทีม่ นุษย์สมมติช่ือเรียกต่างๆ กนั เชน่ บางกลุ่มเรยี กว่าพระเจา้ บางกลุม่ เรียกพระอัลหลา่ ห์
ฯลฯ พระเจา้ จงึ เปน็ ตวั กลางคน่ั ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ เปน็ ผทู้ ร่ี ะงบั ทกุ ขท์ ง้ั หมดจากธรรมชาติ ศาสนา
จึงเปน็ ระบบสังคมสงเคราะหท์ ชี่ ่วยขจดั ความกลวั ทำ� ใหม้ นษุ ย์หายกังวล
       2.2 	การอธิบายตามแนวทางสังคมวิทยา นกั สังคมวิทยาผรู้ เิ ริม่ อธบิ ายศาสนาอย่างเปน็ ระบบคือ
เดอร์ไคม์ (Durkheim) ซง่ึ ได้เสนอวา่ ศาสนาคอื ระบบความเชอ่ื และหลกั ปฏิบัตทิ ่ีแยกระหวา่ งสองสง่ิ คอื
ความศักดสิ์ ิทธ์ิ (sacred) กับความเลวรา้ ย (profane) ออกจากกันอย่างชัดเจน เปน็ ท่ีมาของระบบความ
เชอื่ คา่ นยิ ม จารตี ประเพณแี ละบรรทดั ฐานทสี่ งั คมยอมรบั เปน็ พลงั ในการสรา้ งความสมานฉนั ท์ และสำ� นกึ
รว่ ม (collective conciousness) ศาสนาจงึ เปน็ กลไกสำ� คญั ในการควบคมุ กฎเกณฑก์ ตกิ าสงั คมและรกั ษา
ความสงบเรยี บรอ้ ยของสังคม
       2.3 	การอธิบายตามแนวทางผสมผสานระหว่างจิตวิทยาและสังคมวิทยา ในการให้ค�ำอธิบาย
เกยี่ วกบั กำ� เนดิ ของศาสนานนั้ นกั มานษุ ยวทิ ยาบางทา่ นไดน้ ำ� แนวคดิ ทง้ั จติ วทิ ยาและสงั คมวทิ ยามาประยกุ ต์
เช่น เอเบิร์ล (Aberie) ได้เสนอว่า ศาสนาเป็นผลท่ีเกิดขึ้นมาจากการสนองตอบต่อความกดดัน ความ
อดึ อัด ความขัดแยง้ อันเนือ่ งมาจากความผันผวนของสงั คม การเปลี่ยนแปลงหรือเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ดังน้นั
สังคมจะหาหนทางฟื้นพลังดว้ ยมาตรการต่างๆ เชน่ การสร้างลทั ธิ นกิ ายหรอื ขบวนการทางศาสนาใหมๆ่
(ยศ สันติสมบตั ,ิ 2556: 279-280)

3. 	ประเภทของศาสนา

       การแบ่งประเภทของศาสนามกี ารแบ่งไดห้ ลายแบบ เช่น แบ่งตามความเช่ือ แบง่ ตามข้อเท็จจรงิ
แบ่งตามวิวัฒนาการ และแบ่งตามลักษณะผูน้ บั ถอื ศาสนา (ทองหลอ่ วงษธ์ รรมา, 2551: 11-13) ดงั นี้

       3.1 	การแบง่ ประเภทตามลกั ษณะความเชอื่ เปน็ การแบง่ ทน่ี ยิ มกนั โดยทว่ั ไป การแบง่ ตามลกั ษณะ
ความเช่ือสามารถแบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทเทวนิยม (Theism) และประเภทอเทวนิยม
(Atheism)

            1)	ประเภทเทวนิยม เป็นกลุ่มศาสนาที่นับถือเทพเจ้าหรือพระเจ้าว่าเป็นส่ิงที่ศักดิ์สิทธ์ิ มี
พลงั สูงสดุ เปน็ กลุม่ ศาสนาท่ีมสี อ่ื กลางในการเกยี่ วขอ้ งกบั ปรากฏการณ์รอบๆ ตัวมนษุ ย์ ในสมัยกอ่ นภัย
   34   35   36   37   38   39   40   41   42   43   44