Page 53 - ประสบการณ์วิชาชีพภาษาอังกฤษ
P. 53
การพัฒนาภาวะผู้นำ� 15-41
เราไม่สามารถวางกฎเกณฑ์ในการใช้กิริยาอาการเพื่อสื่อความหมายให้ตายตัวหรือเฉพาะเจาะจงลงไปได้
ยกเว้นเฉพาะกิริยาอาการที่กำ�หนดเป็นแบบแผนตามประเพณีนิยม เช่น การกราบแบบต่างๆ การไหว้ การจับมือ
การโค้งคำ�นับ เป็นต้น อย่างไรก็ดีเรามีหลักกว้างๆ พอจะบอกได้ว่าลักษณะกิริยาอาการเช่นไรเป็นปัจจัยช่วยสื่อ
ความหมายให้การพูดสัมฤทธิผล ลักษณะกิริยาอาการที่เป็นอุปสรรคต่อการสื่อความหมายที่สำ�คัญมี 5 ประการ
ได้แก่
2.1 การทรงตัว การทรงตัวที่ดีต้องให้อยู่ในอาการสมดุล ไม่ฝืนธรรมชาติ ในขณะที่ยืนพูดควรปล่อย
นํ้าหนักให้ตกลงบนขาทั้ง 2 ข้างเท่าๆ กัน และให้กดลงที่กลางเท้าไม่ใช่ที่ส้นเท้าหรือปลายเท้า ปล่อยแขนลงตาม
สบาย หรือจะง อศอกเป็นม ุมฉาก ให้ปลายนิ้วม ือทั้ง 2 ชิดหรือป ระสานกันอยู่ด ้านหน้าก็ได้
ในขณะนั่งพูดก็ไม่ควรปล่อยให้นํ้าหนักตัวตกอยู่ที่กลางหลัง เพราะท่านี้จะไม่ช่วยให้ทรวงอกขยายตัวได้
สะดวกในขณะที่เปล่งเสียงพูด ต้องระวังไม่ปล่อยให้ท่อนแขนช่วงบนกดชิดลำ�ตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะท่านี้ทำ�ให้
ทรวงอกอึดอัดโดยไม่รู้ตัว ท่านั่งตามปกติที่ช่วยให้ทรงตัวดีที่สุด คือ นั่งลำ�ตัวตรง ถ้ามีโต๊ะอยู่ด้านหน้าควรวาง
ข้อศอกไว้บนโต๊ะอาจโน้มตัวไปข้างหน้าได้เล็กน้อย ถ้าไม่มีโต๊ะ เช่น นั่งเก้าอี้ล้อมวงกันในการอภิปรายกลุ่มควร
ว างมือซ ้อนก ันบ นต ัก ไม่ค วรปล่อยม ือลงข้างๆ ตัว จะทำ�ให้ถ ่วงนํ้าห นัก เคลื่อนไหวทรวงอกไม่สะดวก
2.2 การใช้นัยน์ตา มีคำ�กล่าวว่า ดวงตาคือแว่นส่องใจ หมายความว่าถ้าเราอยากทราบว่าภายในใจของ
บุคคลกำ�ลังคิดนึกอย่างไร หรืออัธยาศัยใจคอของบุคคลเป็นอย่างไร เราทราบได้โดยมองที่ดวงตาของเขานั้นเอง
นัยน์ตาข องม นุษย์อ าจส ื่อค วามห มายได้ห ลายอ ย่างต ่างๆ กัน ฉะนั้น ถ้าผ ู้พ ูดม ีค วามจ ริงใจ มีเจตนาด ี มีค วามห วังด ีต ่อ
ผู้ฟัง แต่กลับไม่มองต าผู้ฟัง ผู้ฟังย่อมไม่อ าจร ับรู้ค วามร ู้สึกเหล่านั้นได้ ที่เป็นผลเสียยิ่งกว่าน ั้นก็คือ ผู้ฟังอาจสำ�คัญ
ว่าเราขาดคุณสมบัติเหล่านั้นก็ได้ในขณะที่พูด ผู้พูดจำ�เป็นต้องมองหน้าผู้ฟัง พยายามสบตากับผู้ฟังเป็นระยะๆ ให้
ทั่วถึงทั้งหมด ถ้าพูดกับคนจำ�นวนมากจะจับตาอยู่แต่เฉพาะผู้ใดผู้หนึ่งเพียง 2-3 คนไม่ได้ต้องกวาดตาไปให้ทั่ว
ให้บ รรดาผู้ฟังในท ี่นั้นเกิดค วามรู้สึกร ่วมก ันว ่า ผู้พ ูดพูดก ับผ ู้ฟ ังแต่ละค นอยู่ต ลอดเวลา
ประโยชนข์ องก ารม องผ ฟู้ งั อ กี อ ย่างห นึ่งก ค็ อื จะช ว่ ยใหผ้ ูพ้ ดู ท ราบว า่ ผ ฟู้ งั ม ปี ฏกิ ริ ิยาอ ยา่ งไรต อ่ ส ิง่ ท ผี่ ูพ้ ดู ก �ำ ลงั
พูดให้ฟังอยู่ในขณะน ั้น ทั้งนี้เพื่อจะได้ปรับเนื้อหาแ ละว ิธีพูดให้ได้ทันท ่วงที เช่น ถ้าสังเกตเห็นว ่าผ ู้ฟ ังช ักจ ะง งก ็อาจจ ะ
ต้องใช้ตัวอย่างช่วยอธิบายให้ชัดเจนขึ้นหรือเมื่อสังเกตเห็นว่าผู้ฟังชักจะเบื่อก็จะได้เปลี่ยนประเด็นตอนนั้นเลย เข้าสู่
ประเด็นใหม่ให้น่าสนใจกว่า ดีก ว่าท ี่จะพ ูดเรื่อย ๆ ไปโดยไม่รับร ู้ป ฏิกิริยาข องผู้ฟังแต่อย่างใดท ั้งสิ้น
2.3 จังหวะในการแ สดงก ิริยาอ าการ การแ สดงกิริยาอาการไม่ว่าจะโดยก ารใช้ม ือ แขน ศีรษะ การแ สดงออก
ทางดวงหน้าและการเคลื่อนไหวลำ�ตัว ถ้าจะให้ช่วยเน้นคำ�พูดหรือเสริมคำ�พูดให้เป็นที่เข้าใจแจ่มชัดขึ้น สำ�หรับผู้ฟัง
ควรจ ะแ สดงออกในท ันทีท ันใดก ่อนเปล่งค ำ�พูด ถ้าแ สดงก ิริยาอ าการภ ายห ลังท ี่พูดอ อกไปแ ล้วห รือแ ม้แต่พ ร้อมๆ กับ
การเปล่งคำ�พูดจ ะทำ�ให้แลดูข ัดตา ไม่สื่อความห มายกลมก ลืนด ีเท่าที่ควร
2.4 การเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่เป็นการแสดงกิริยาอาการที่เห็นชัดมากและดึงดูดความสนใจของคนฟังได้
มากด้วย ในการพูดหน้าที่ประชุม การเคลื่อนที่ของผู้พูดเริ่มสื่อความหมายให้แก่ผู้ฟังนับตั้งแต่เริ่มเดินเข้าสู่สถาน
ที่พูดหน้าที่ประชุม ดังนั้นผู้พูดจึงควรเดินด้วยกิริยาอาการที่สง่าผ่าเผย และสำ�รวม วางสีหน้าให้เป็นปกติถ้าจะยิ้ม
ก็ยิ้มเพียงน ้อยๆ อยู่ในหน้า
เมื่อไม่ได้พูดผ่านไมโครโฟนที่ตรึงอยู่กับที่ ผู้พูดอาจเคลื่อนที่จากตำ�แหน่งหนึ่งไปอีกตำ�แหน่งหนึ่งได้ แต่
ต้องไม่กระทำ�ด้วยอาการลุกลี้ลุกลน และก็ต้องไม่เคลื่อนที่ให้บ่อยจนเกินไป มีบางคนขณะที่พูดเดินกลับไปกลับมา
จนผู้ฟ ังเกิดค วามรำ�คาญ อาการเช่นน ี้อ าจกลายเป็นน ิสัยติดตัวไปแล้วก็ได้ แต่ก ารไม่เคลื่อนที่เลย ทั้งๆ ที่ส ถานที่พ ูด
เปิดโอกาสให้ท ำ�ได้ ย่อมมีผลเสียต ่อก ารสื่อค วามห มายเช่นกัน