Page 67 - สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
P. 67
สาธารณรัฐแหง่ สหภาพเมียนมา 11-57
วิธีใช้ตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวน้ัน ต้องเอาตะนะคาท่ีตัดเป็นท่อน ขนาดหน่ึงคืบหรือครึ่งฟุต
นำ� มาฝนบนแผน่ หินเจือดว้ ยน้ําเพียงเล็กน้อย ผงตะนะคาจะต้องละลายเปน็ แปง้ น้ําเสียก่อน จึงจะน�ำมาทา
ให้ติดผิว ชาวพม่าใช้ตะนะคาทาผวิ ตั้งแตเ่ กิดจนเสียชีวติ เร่ิมแตว่ ยั เดก็ แม่ หรอื แม่เฒ่าจะทาตะนะคาให้
ลูกหลานชายหรือหญิงทย่ี งั เลก็ โดยแตม้ ตะนะคาเริ่มทห่ี น้าผากด้ังจมกู และแกม้ แลว้ ละเลงจนทว่ั ใบหน้า
จนถึงหู และลำ� คอตลอดจนล�ำตัว จากน้ันจงึ ป้ายตะนะคาเป็นวงบนแกม้ วงท่ีดงู ามต้องเปน็ วงกลม ฉะน้นั
ย่ิงป้ายได้กลมเท่าไร ก็ถือวา่ ฝีมือประณีต เด็กมักถูกผใู้ หญ่คะยย้ั คะยอให้ทาตะนะคา หากอยากมผี ิวสวย
ไปจนโตและจนแก่เฒ่า ยามเม่ือโตขึ้นหญิงสาวจะป้ายวงตะนะคาบนแก้มท้ังสองข้างให้ดูงามโดยป้ายเป็น
รูปวงหรือร้ิวลายตามใจชอบ บ้างป้ายเป็นวงกลมให้ดูน่ารัก บ้างป้ายเป็นแถบให้ดูคมคาย บ้างป้ายเป็น
แนวรูปรอยนิว้ มอื ชวนใหด้ ูเก๋ไก๋ บ้างปา้ ยเป็นร้ิวลายใหด้ แู ปลกตา และบา้ งทาเรียบไมแ่ ต่งลายหรือป้ายวง
เพื่อให้ดูเรียบร้อย การทาตะนะคาของสาวพม่าจึงจัดเป็นแฟชั่นและสะท้อนลักษณะนิสัยได้ในตัว เวลา
เกย่ี วขา้ วดำ� นา ซ่งึ ต้องสแู้ ดดสลู้ มนั้น สาวพม่ามักตอ้ งทาตะนะคาเพ่อื กนั แดดลมกลํ้ากรายผิว ตะนะคาจึง
เปรียบเสมอื น “รม่ ” คลมุ ผวิ ไม่ใหต้ ้องแดดต้องลมมากเกินไป
ปัจจุบันรูปแบบของตะนะคาได้พัฒนาข้ึนจากขายเป็นท่อนมาป่นเป็นผงด้วยเครื่องจักรทันสมัย
แล้วบรรจุซอง บรรจุขวด ใสต่ ลับ ตลอดจนผสมเป็นแปง้ นาํ้ และอดั เปน็ กอ้ น ตะนะคาจึงกลายเป็นสนิ คา้
ส�ำเรจ็ รูปจากโรงงาน ไมเ่ พียงแตว่ างขายเป็นทอ่ นอกี ต่อไป ตะนะคาท่ีวางขายอยู่ในตลาดจงึ มีรปู แบบเพิ่ม
ข้นึ มา อาทิ ตะนะคากอ้ น ตะนะคาผง ตะนะคานา้ํ และตะนะคาเมคอัพ อยา่ งไรกต็ ามชาวพม่ายังคงนิยม
ฝนตะนะคาใช้เอง เพราะผงจากท่อนตะนะคาแท้ๆ จะมีกลน่ิ และเนือ้ แปง้ ดกี วา่ ในขณะทตี่ ะนะคาส�ำเรจ็ รูป
จะเจือเน้ือแก่นไม้หรือรากที่จะท�ำให้คุณภาพของตะนะคาด้อยลงไป ผงตะนะคาที่ดีท่ีสุดจะต้องเป็นเนื้อผง
ทไ่ี ดจ้ ากผวิ เปลือกและผวิ เนอื้ ไมเ้ ท่าน้นั เพราะมีกลน่ิ หอมและมีความนมุ่ ละเอยี ดกวา่ เน้ือไม ้ ปัจจุบนั การ
ใชต้ ะนะคาในการรกั ษาโรคในสงั คมพมา่ ไดล้ ดนอ้ ยลงไปบา้ ง ดว้ ยมยี าสมยั ใหมท่ ใ่ี ชไ้ ดส้ ะดวกกวา่ สว่ นการ
ใชต้ ะนะคาเปน็ เครอื่ งประทนิ ผวิ นนั้ เรม่ิ ไดร้ บั ผลกระทบจากความทนั สมยั สาวสมยั ใหมบ่ างคนเรมิ่ เมนิ แปง้
จากทอ่ นตะนะคา หนั มาใชเ้ ครอื่ งสำ� อางทช่ี ว่ ยแตง่ แตม้ สสี นั บนใบหนา้ แตก่ ใ็ ชว่ า่ จะเลกิ ใช้ ตะนะคากนั เสยี ที
เดยี ว มักยงั นิยมใชต้ ะนะคาทาเป็นแปง้ รองพื้นก่อนทจ่ี ะใชเ้ ครอ่ื งสำ� อาง79
การแต่งกายและเคร่ืองนุ่งห่ม
ชาวพมา่ ในปจั จบุ นั ยงั คงรกั ษาเอกลกั ษณก์ ารแตง่ กายตามวฒั นธรรมมาตงั้ แตใ่ นอดตี การใสผ่ า้ นงุ่
หรือโสรง่ กบั เสือ้ แบบพมา่ พร้อมสวมรองเทา้ แตะคบี ยงั คงพบเหน็ ไดโ้ ดยทัว่ ไปในสงั คมพม่า และยังคงเป็น
ชุดทช่ี นช้ันนำ� ชาวพมา่ ใส่ในงานส�ำคัญของรัฐและโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงการประชุมสภา ลักษณะการแตง่ กาย
ของชาวพมา่ ววิ ฒั นไ์ ปตามยคุ สมยั ชดุ ทชี่ าวพมา่ สวมใสม่ าจนถงึ ปจั จบุ นั นสี้ บื ทอดมาจากลกั ษณะการแตง่ กาย
สมยั ปลายยคุ คองบองและยคุ อาณานคิ ม เครอ่ื งแตง่ กายของบคุ คลโดยทว่ั ไปจะประกอบไปดว้ ยผา้ นงุ่ เสอื้ ปวา
และผ้าโพกศีรษะ
ส่วนผ้าทอพม่าท่ีได้รับการยกย่องว่างดงามและเป็นงานฝีมือที่เป็นศิลปะข้ันสูง คือผ้าทอลูนตยา
หรือผ้าท่ีมีลวดลายคล้ายกับคลื่น ซ่ึงสุภาพสตรีพม่ามักสวมใส่ในวาระพิเศษต่างๆ ผ้าลูนตยา ถือเป็น
79 เรอ่ื งเดียวกนั . น. 196–200.