Page 16 - ไทยศึกษา
P. 16
๑๓-6 ไทยศึกษา
เม่ือผ่านเข้าสู่ยุคสมัยประวัติศาสตร์ มนุษย์พัฒนาภาษาพูดเป็น ภาษาเขียน รู้จักสร้างตัวอักษร
เพอื่ บนั ทกึ และเผยแพรค่ วามรคู้ วามคดิ กระบวนการทางความคดิ จากการสงั เกตสงิ่ ทเี่ กดิ ขน้ึ ซำ�้ ๆ ผา่ นการ
ตรวจสอบ และส่ังสมเป็นความรู้จึงเร่ิมปรากฏชัดเจนมากข้ึน และก่อรูปแบบความคิดในการอธิบาย
ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น จนสามารถสร้างเป็นแบบแผนกฎเกณฑ์และรู้จักใช้การสร้างสรรค์จาก
กระบวนการทางความคดิ การวิเคราะหท์ ี่เปน็ ระบบ พัฒนาขึ้นเป็นความรทู้ างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อีกท้ังยังรู้จักการปรับปรุงเพ่ือให้คนรุ่นต่อมาได้น�ำไปใช้และพัฒนาขึ้นอย่างต่อเน่ือง โดยไม่ต้องย้อนกลับ
ไปตง้ั ต้นคดิ ใหม่
๒. การสร้างสรรค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาในสังคมไทย
ในพนื้ ทข่ี องประเทศไทยมรี อ่ งรอยของมนษุ ยต์ ง้ั แตย่ คุ กอ่ นประวตั ศิ าสตรก์ ระจายอยใู่ นทกุ ภมู ภิ าค
ทมี่ หี ลกั ฐานทางโบราณคดปี รากฏเปน็ สำ� คญั อาทิ วฒั นธรรมยคุ หนิ ทบ่ี า้ นเกา่ จงั หวดั กาญจนบรุ ี วฒั นธรรม
ยคุ โลหะทีบ่ า้ นเชียง จงั หวัดอดุ รธานี
การขุดคน้ พบเคร่ืองมอื หนิ เครื่องป้ันดินเผา เครื่องประดบั ทำ� จากเปลอื กหอย หินมคี า่ เคร่อื งมอื
โลหะ และอ่ืนๆ ท�ำให้เราทราบว่ามนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบันมีความรู้ใน
ระดบั ทสี่ ามารถนำ� มาใชส้ รา้ งสรรคเ์ ทคโนโลยี ไมว่ า่ จะเปน็ ความรเู้ รอื่ งการใชค้ วามรอ้ นในอณุ หภมู ทิ เ่ี หมาะสม
เผาภาชนะเคร่ืองปั้นดินเผา หรือความรู้ในการใช้ความร้อนที่มีอุณหภูมิสูงมากขึ้นหลอมโลหะ น�ำไปสู่
การผลติ เครื่องมอื โลหะส�ำหรบั ใช้ในการประกอบกจิ กรรมต่างๆ รวมทัง้ เป็นอาวธุ ด้วย
ความรู้และการสร้างสรรค์ส่งผลให้เกิดวัฒนธรรมและความเจริญรุ่งเรืองในชุมชน และสานผลต่อ
เนื่องใหช้ ุมชนโบราณในสมัยตน้ ประวตั ิศาสตรพ์ ัฒนามาเป็นบ้านเมอื ง
ในยุคสังคมเมือง การสร้างสรรค์ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติยังมีอย่างต่อเนื่องและแตกต่างไปตาม
ภมู ภิ าค เพอื่ สนองตอ่ ความตอ้ งการพน้ื ฐานในการดำ� รงชวี ติ เปน็ สำ� คญั เปน็ ความรคู้ วามเชย่ี วชาญทเ่ี ชอื่ มโยง
ระหว่างสภาพแวดล้อมกับความต้องการภายในชุมชน และแปรเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีท่ีเหมาะสมส�ำหรับ
พ้ืนที่น้ันๆ เช่น การเกษตรกรรมในพ้ืนท่ีซ่ึงมีปัญหาแหล่งน�้ำ ก็จะมีความพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการ
สร้างระบบการจัดการเรื่องน�้ำ เช่น ท�ำเหมืองฝาย เขื่อน ขุดคูคลองส่งน�้ำ หรือในบางพ้ืนท่ีก็อาจจะปรับ
เปลีย่ นวธิ ีการเกษตรกรรมใหเ้ หมาะสมกับสภาพพื้นที่ เชน่ เลอื กปลกู พืชทีท่ นแล้ง เปน็ ตน้
ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติวิทยาในแต่ละสมัยท่ีกล่าวมาข้างต้น ได้มาจากประสบการณ์และความ
เฉลยี วฉลาดของผคู้ นในสงั คมทอ้ งถน่ิ สบื ทอดสง่ ตอ่ จากคนรนุ่ หนงึ่ ไปสอู่ กี รนุ่ หนงึ่ สงิ่ นเี้ รยี กวา่ ภมู ปิ ญั ญา
และมกี ารปรบั ประยกุ ต์ รวมทง้ั เปลย่ี นแปลงไปตามสภาพแวดลอ้ มในแตล่ ะยคุ สมยั หรอื จากการรบั วทิ ยาการ
ภายนอก จนบางครั้งก่อเกิดเป็นความรู้ใหม่ท่ีน�ำไปสู่การแก้ปัญหาและน�ำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มากกวา่ เดมิ
ภมู ปิ ัญญาเปน็ ทั้งความรู้ ทักษะ ความเช่อื และพฤตกิ รรม ซ่งึ เปน็ ทุกอยา่ งในวิถชี ีวติ ของผู้คนใน
ชุมชนนั้นๆ เพ่ือใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึน มีการจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ร่วมกัน อีกท้ังมีความ
สมั พนั ธแ์ ละสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตทิ ง้ั ดา้ นความเปน็ อยู่ การประกอบอาชพี ศาสนา ประเพณพี ธิ กี รรม และ
การอยู่รว่ มกันในชุมชน