Page 37 - ไทยศึกษา
P. 37
สงั คมไทย ๕-27
ความตอ้ งการทจี่ ะเผยแพรค่ รสิ ตศ์ าสนาและอารยธรรมตะวนั ตกแกป่ ระเทศอนื่ ทด่ี อ้ ยกวา่ ดว้ ยความเชอ่ื วา่
เป็น ภาระของชนผิวขาว (White Man’s Burden) ทจ่ี ะน�ำความดีความเจรญิ ทีส่ งู กว่ามาใหช้ นชาตอิ นื่ ๆ
ที่ล้าหลังกว่าพวกตน ปัจจัยเหล่าน้ีท�ำให้ประเทศตะวันตกแผ่อ�ำนาจเข้ายึดครองบ้านเมืองต่างๆ เป็น
อาณานคิ ม นักวิชาการเรียกสังคมโลกชว่ งนี้วา่ สมัยจักรวรรดินิยม (Imperialism) ซึ่งเกดิ ขึน้ และดำ� รง
อยู่จากช่วงคริสตศ์ ตวรรษที่ ๑๙ มาจนถงึ หลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕)
จักรวรรดินิยมตะวันตกเริ่มคุกคามประเทศไทยเมื่อปลายรัชกาลท่ี ๓ ต่อเน่ืองมาในรัชกาลท่ี ๔
และขึ้นถึงขดี สงู สดุ ในรชั กาลที่ ๕ แลว้ ลดลงในสมัยรัชกาลที่ ๖ และตอ่ ๆ มา ผลของการคุกคามทีอ่ งั กฤษ
มีบทบาทน�ำตามติดมาด้วยฝรั่งเศสนั้น ท�ำให้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ไทยต้องยอมท�ำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับ
อังกฤษใน พ.ศ. ๒๓๙๘ ต้องยกเลกิ ระบบการคา้ ผูกขาดของพระคลังสินคา้ เปิดประเทศเข้าสกู่ ารค้าเสรใี น
ระบบทนุ นยิ มตามท่ปี ระเทศตะวนั ตกต้องการ รวมท้ังให้สทิ ธิพเิ ศษด้านการศาลและภาษศี ุลกากรดว้ ย ตอ่
มาไทยได้ท�ำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้ากับประเทศตะวันตกอีกหลายประเทศ โดยใช้สนธิ
สญั ญาเบาวร์ งิ เปน็ ต้นแบบ
การเขา้ มาตดิ ต่อกบั บา้ นเมืองตา่ งๆ ของประเทศตะวันตกน้นั หากบา้ นเมืองใดมขี นบธรรมเนยี ม
ประเพณที กี่ ดี ขวางความเจรญิ กา้ วหนา้ ดา้ นการคา้ และการแสวงหาผลประโยชนท์ างเศรษฐกจิ แลว้ ประเทศ
มหาอ�ำนาจก็จะถือเอาเป็นเหตุใช้ก�ำลังทางทหารเข้ายึดครองบ้านเมืองนั้นเป็นอาณานิคม โดยอ้างความ
ชอบธรรมวา่ เพือ่ เข้ามาแกไ้ ขปรับปรุงความลา้ หลังต่างๆ ให้ เป็นการสรา้ งความกา้ วหน้าทัง้ แก่บา้ นเมอื ง
นนั้ ๆ และสังคมโลก
ผนู้ ำ� ไทยในสมยั เผชญิ กบั จกั รวรรดนิ ยิ มตระหนกั ถงึ ภยั คกุ คามจากขอ้ อา้ งทำ� นองนี้ จงึ ดำ� เนนิ การ
ปรับปรุงบ้านเมืองให้ทันสมัยในทุกด้านตามแบบอย่างของตะวันตก เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในฐานะ
อารยประเทศหน่งึ อนั จะนำ� ไปสู่การปฏิบัตเิ ยย่ี งชาตอิ ารยะดว้ ยกัน
นอกจากนน้ั ลทั ธจิ กั รวรรดนิ ยิ มยงั นำ� มชิ ชนั นารแี ละพอ่ คา้ นกั ธรุ กจิ ตะวนั ตกเขา้ มาเผยแพรศ่ าสนา
และท�ำมาหากินในไทยจ�ำนวนมาก คนเหล่าน้ีได้เผยแพร่วิทยาการความรู้ตะวันตกแก่คนไทย ในขณะ
เดยี วกนั กไ็ ดเ้ รยี กรอ้ งใหเ้ ปลย่ี นแปลงแกไ้ ขขนบธรรมเนยี มประเพณไี ทยทพี่ วกตนเหน็ วา่ ลา้ หลงั ไมเ่ ปน็ ธรรม
รวมทงั้ ใหส้ รา้ งสาธารณปู โภคและสง่ิ อ�ำนวยความสะดวกตา่ งๆ ดว้ ย เชน่ ถนนดๆี รถไฟ ไปรษณยี ์ โทรเลข
โทรศพั ท์ ไฟฟ้า ประปา เปน็ ตน้
ผู้นำ� ไทยตระหนกั ดถี งึ อทิ ธพิ ลของเสยี งเรยี กร้องจากกลุ่มคนเหล่าน้ที ี่มีถงึ ส่อื มวลชนตะวันตก ซงึ่
จะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ เนอื่ งถงึ การตดั สนิ ใจของรฐั บาลประเทศมหาอำ� นาจดว้ ย ดงั นน้ั จงึ เหน็ ความจำ� เปน็ ทจี่ ะตอ้ ง
ยกระดบั บ้านเมอื งของเราให้พ้นจากสภาพ “ชาติป่าเมืองเถ่ือน...ถือเราเสมือนสัตว์เดรัจฉาน” (พระราช
ด�ำรสั รัชกาลท่ี ๔ ) ยอมรับวิทยาการและขนบธรรมเนยี มของตะวันตกมาใชเ้ ป็นเครอื่ งมือสรา้ งสรรคค์ วาม
เจรญิ ดว้ ยความเชอื่ มน่ั วา่ วธิ กี ารนจ้ี ะนำ� ประเทศไปสคู่ วามเปน็ อารยะทตี่ อ้ งการได้ การปรบั ปรงุ บา้ นเมอื ง
ของไทยจึงมลี ักษณะของการปรับตวั ใหเ้ ป็นตะวนั ตกด้วย7
7 เนอ้ื หาสาระในชว่ งท้ายของข้อน้ีเรยี บเรียงตดั ตอนจาก สุมาลี บ�ำรงุ สขุ . (๒๕๓๒). น. ๔๑๔.