Page 32 - ไทยศึกษา
P. 32

๕-22 ไทยศกึ ษา
ครอบครองทดี่ นิ สว่ นพวกไพรเ่ พยี งแตไ่ ดร้ บั สทิ ธใิ หเ้ ขา้ ไปเพาะปลกู และตอ้ งจา่ ยคา่ เชา่ ใหแ้ กเ่ จา้ ทดี่ นิ ผซู้ ง่ึ
จะได้รับผลประโยชน์ในด้านภาษีอากรและดอกเบ้ียด้วย ระบบศักดินาตั้งขึ้นเพื่อการขูดรีดระหว่างชนชั้น
การเคล่ือนย้ายทรัพยากรไม่ว่าจะเป็นแรงงานหรือผลผลิตด�ำเนินไปในลักษณะจากต่�ำไปสูง หรือกล่าวอีก
นัยหนง่ึ จากพวกไพร่ไปสะสมอยู่ทชี่ นช้นั ปกครองหรือพวกมูลนาย

       นักวิชาการกลุ่มท่ีเสนอความเห็นตาม แนวคิดแรก นั้น มักอ้างอิงพระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้า
บรมวงศ์เธอกรมพระยาด�ำรงราชานุภาพ ส่วนนักวิชาการที่ตีความตาม แนวคิดข้อหลัง น้ัน ผู้ที่ศึกษา
วิเคราะห์อยา่ งละเอยี ดและเดน่ ทีส่ ดุ คอื จติ ร ภูมศิ กั ด์ิ ในหนังสือ โฉมหน้าศักดินาไทย

       เม่ือพิจารณาจากการศึกษางานวิชาการของแนวคิดทั้งสองนี้ประกอบกับการศึกษาข้อมูลช้ันต้น
อ่นื ๆ เทา่ ทมี่ ีอย่ทู �ำให้สรุปไดว้ า่ ระบบศกั ดินามีความเก่ยี วพันกบั ปัจจัยการผลติ เรอ่ื งทีด่ ินในสงั คมเกษตร
ของไทยในสมยั จารตี แตเ่ ปน็ เพยี งสทิ ธใิ นการถอื ครองทด่ี นิ เพอ่ื บกุ เบกิ เพาะปลกู หาผลประโยชน์ มไิ ดพ้ ฒั นา
ถงึ ขน้ั ระบบกรรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ ตามแนวคดิ ของนกั วชิ าการกลมุ่ หลงั หรอื แนวมารก์ ซสิ ตไ์ ดว้ เิ คราะหไ์ ว้ เพราะ
ระบบกรรมสิทธ์ิที่ดินเพ่ิงเกิดขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เม่ือเศรษฐกิจไทย
เปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบทุนนิยมแล้ว นอกจากนั้น พวกไพร่ก็มิได้ประสบปัญหาเรื่องที่ดินท�ำกิน เพราะมี
สทิ ธบิ กุ เบกิ ทดี่ นิ ตามศกั ดนิ า และทดี่ นิ ยงั ไมข่ าดแคลนเนอื่ งจากประชากรยงั มนี อ้ ยไดส้ ดั สว่ นกบั ทด่ี นิ ทมี่ อี ยู่

       ขอ้ มลู ชน้ั ตน้ จาก กฎหมายลกั ษณะเบด็ เสรจ็ มาตราที่ ๕๒ กลา่ ววา่ “ทใ่ี นแวน่ แควน้ กรงุ เทพพระ-
มหานครศรีอยุธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์เป็นท่ีแห่งพระเจ้าอยู่หัว หากให้ราษฎรทั้งหลาย
ผเู้ ปน็ ขา้ แผน่ ดนิ อยู่ จะไดเ้ ปน็ ทรี่ าษฎรหามไิ ด”้ (กรมศลิ ปากร, ๒๕๒๑, น. ๓๘๘) จากขอ้ ความในกฎหมาย
มาตราน้ีท�ำให้พอจะสันนิษฐานตีความได้ว่า ในทางทฤษฎี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นเจ้าของท่ีดินท้ังหมด
ในพระราชอาณาจักรแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์จะพระราชทานสิทธิในการถือครองและสร้างผล
ประโยชน์จากที่ดินแก่เจ้านาย ขุนนาง พระสงฆ์ ไพร่ และทาส ลดหลั่นกันไปตามศักดินาของแต่บุคคล
และทรงไว้ซึง่ พระราชอ�ำนาจท่จี ะเรยี กที่ดินคืนเมื่อไรก็ไดโ้ ดยไมต่ อ้ งจ่ายคา่ เวนคนื

       แตใ่ นทางปฏบิ ตั แิ ลว้ การจะเรยี กสทิ ธใิ นการถอื ครองทดี่ นิ ทไ่ี ดพ้ ระราชทานไปแลว้ คนื จากพวกเจา้
นายและขุนนางหรือที่มักเรียกกันว่าพวกมูลนายน้ัน คงจะมิใช่กระท�ำกันได้อย่างง่ายดาย หากต้องข้ึนอยู่
กบั พระราชอำ� นาจทางการเมอื งของพระมหากษตั รยิ แ์ ตล่ ะพระองค์ ดว้ ยเหตนุ จี้ งึ กลา่ วไดว้ า่ ชนชน้ั ปกครอง
ซึง่ ประกอบด้วย พระมหากษัตริย์ เจ้านาย และขุนนาง เป็นผู้ครอบครองปัจจยั การผลิตเร่ืองท่ดี นิ ส�ำหรับ
พวกไพร่หรือราษฎรก็ได้รับสิทธิในการถือครองท่ีดินจ�ำนวนหนึ่งประมาณ ๑๐-๒๕ ไร่ เพ่ือใช้เพาะปลูก
เลี้ยงตนเองและเสียภาษีอากรให้รัฐบาล ส่วนการเรียกที่ดินคืนจากราษฎรนั้นน่าจะไม่ค่อยได้กระท�ำกัน
เพราะพวกไพรเ่ ป็นผสู้ ร้างผลผลิตที่สำ� คญั ของสังคม ผลผลิตทส่ี ร้างขนึ้ ก็ให้ผลประโยชน์แก่รัฐ อีกท้งั พวก
ไพรก่ ถ็ อื ครองทดี่ นิ จำ� นวนไมม่ ากดว้ ย นอกจากนนั้ ในสมยั กอ่ นประชากรในอาณาจกั รยงั มนี อ้ ย แรงงานจงึ
มีอยู่จ�ำกัด แม้ว่าพวกมูลนายจะได้ควบคุมแรงงานไพร่และมีข้าทาสเป็นบริวาร แต่ก็ยังไม่มีแรงงานมาก
เพยี งพอทจ่ี ะไปบกุ เบกิ สรา้ งผลประโยชนจ์ ากทด่ี นิ เตม็ จำ� นวนตามศกั ดนิ าทไี่ ดร้ บั พระราชทาน จงึ ไมป่ รากฏ
ปัญหาการถือครองท่ีดินเกินศักดินา จนต้องไปเรียกที่ดินคืนจากพวกไพร่ พวกไพร่จึงไม่มีปัญหาในเรื่อง
ทด่ี นิ ทำ� กนิ แมจ้ ะไม่ไดเ้ ป็นเจา้ ของปัจจยั การผลติ น้ีก็ตาม
   27   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37