Page 19 - วิถีไทย
P. 19

วิถีไทยกบั ความหลากหลายทางสงั คมและวฒั นธรรม 2-9

พื้นบา้ นของกลุ่มชนตา่ งๆ โดยเฉพาะท่ีเกีย่ วกับระบบการจ�ำแนกแยกแยะประเภทของพืชและสง่ิ มชี ีวิตใน
ระบบนเิ วศ รวมท้ังความเขา้ ใจในสมั พนั ธภาพของสิ่งมชี วี ิตภายในระบบนเิ วศชุดเดียวกนั ซง่ึ เป็นพืน้ ฐาน
ของระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติของท้องถ่นิ 6

       งานในแนวนเิ วศวิทยาชาติพันธุ์ทำ� ใหเ้ กิดความเขา้ ใจและความตระหนกั รบั รวู้ า่ ระบบการจ�ำแนก
แยกแยะและองค์ความรู้ท้องถ่ินนั้น มีความส�ำคัญและมีความสลับซับซ้อน จนสามารถเทียบเคียงได้กับ
ระบบการจ�ำแนกแยกแยะแบบวิทยาศาสตร์ตะวันตก นอกจากนี้งานในแนวนิเวศประวัติศาสตร์ (Eco-
history) และ “ชีววิทยาพื้นบ้าน” (Folkbiology) ซึ่งเป็นงานในแนวท่ีเอื้อหนุนต่อข้อเสนอของแนว
นเิ วศวิทยาชาติพนั ธ์ุ ต่างชว่ ยยนื ยนั ใหเ้ หน็ ถึงความส�ำคญั ของการศกึ ษาทำ� ความเขา้ ใจองค์ความรทู้ ้องถิน่
และช่วยล้มล้างมายาคติท่ีมองว่าองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นเพียงส่ิงตกค้างทางประวัติศาสตร์
หรือมรดกตกทอดมาจากอดีตทไี่ มม่ คี วามส�ำคญั ต่อยุคสมยั ปจั จบุ นั และอนาคต หากแตก่ ารศึกษาในแนวน้ี
ได้ชีใ้ ห้เหน็ อยา่ งชดั เจนวา่ องคค์ วามรู้ทอ้ งถนิ่ ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธุน์ นั้ มีคณุ ค่าอยา่ งมหาศาลต่อความอย่รู อด
ของมนษุ ยชาติ

       แนวคิดนิเวศวิทยาชาติพันธุ์ จึงเป็นแนวคิดที่มองมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน ความแตกต่างทาง
วัฒนธรรมและวิธคี ดิ ของมนษุ ยน์ ้ัน มสี าเหตมุ าจากบรบิ ทแวดลอ้ มทางธรรมชาติ ตรงขา้ มกบั แนวคิดลัทธิ
เช้ือชาตินิยม (Racism) ทีส่ นับสนุนการขยายอำ� นาจแบบลทั ธอิ าณานิคม (Colonialism) เพราะมองวา่
มนุษย์ไม่ได้มีความเท่าเทียมกัน ชนผิวขาวเท่าน้ันมีความเหมาะสมท่ีจะมีอ�ำนาจปกครองชนผิวสีอ่ืนๆ
เนื่องจากเป็นกลุ่มชนท่ีมีความรู้และมีวิทยาการสมัยใหม่ แต่งานในแนวนิเวศวิทยาชาติพันธุ์แสดงให้เห็น
ว่ากลุ่มชาติพันธุ์ก็มีความรู้พ้ืนถิ่นเฉพาะตน อันเกิดจากการปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อม ดังน้ัน จึง
ไม่มีชนกลมุ่ ไหนเหนอื กว่าชนกลมุ่ อนื่

3.	 แนวคิดชีวิตวัฒนธรรม (Cultural life)

       ในการทจี่ ะเขา้ ใจลกั ษณะของวถิ ไี ทย กอ่ นอน่ื จำ� เปน็ ตอ้ งเขา้ ใจความหมายของวฒั นธรรมใหถ้ อ่ งแท้
และชดั เจนเสยี กอ่ น เพราะวฒั นธรรมเปน็ พลงั สรา้ งสรรคท์ แี่ ทจ้ รงิ ของสงั คม ในความพยายามทจ่ี ะสอื่ ความหมาย
ของวัฒนธรรมในลักษณะเคลื่อนไหวและมีพลัง อานันท์ กาญจนพันธุ์7 เสนอว่าควรมองวัฒนธรรมใน
ลักษณะท่ีเรยี กวา่ “สังคมวฒั นธรรม” หรอื “ชวี ติ วัฒนธรรม” (Cultural life) เพราะการมองวัฒนธรรม
ในลักษณะน้ีจะกระตุ้นให้เกิดความสนใจวิเคราะห์สังคมและวิถีชีวิตของกลุ่มชนผู้เป็นเจ้าของวัฒนธรรม
ควบคกู่ บั การทำ� ความเขา้ ใจลกั ษณะทางวฒั นธรรมทต่ี อ้ งปรบั ตวั เปลยี่ นแปลงไปตามสภาพแวดลอ้ มอยเู่ สมอ
เพราะไมม่ วี ฒั นธรรมใดอยอู่ ยา่ งโดดเดย่ี ว ลว้ นแตต่ อ้ งสมั พนั ธก์ นั อยา่ งซบั ซอ้ นทง้ั ระหวา่ งคนกบั ธรรมชาติ
และคนกบั คนดว้ ยกัน แต่อยูต่ า่ งถ่นิ กนั ตงั้ แตร่ ะดบั ท้องถ่นิ จนถึงระดบั โลก

       นอกจากน้ี ยงั ไดอ้ ธบิ ายขยายความเพมิ่ เตมิ วา่ หากพจิ ารณาความหมายของวฒั นธรรมในเชงิ ชวี ติ
วฒั นธรรมแลว้ จะเขา้ ใจไดว้ า่ วฒั นธรรมกค็ อื “วธิ คี ดิ ” (Way of thinking) ของผคู้ นในสงั คมนน่ั เอง วธิ คี ดิ
หมายถึง องค์รวมของหลักการหรือระบบเหตุผล ที่ใช้อธิบายคุณค่าและให้ความหมายต่ออุดมการณ์ของ

         6 เรอ่ื งเดยี วกัน. น. 2-5.	
         7 อานนั ท์ กาญจนพนั ธุ์. (2548). ทฤษฎแี ละวิธวี ทิ ยาของการวิจัยวฒั นธรรม. กรงุ เทพฯ: อมั รนิ ทร.์
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24