Page 17 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 17
ทฤษฎภี าพยนตร์แนวรปู แบบนิยม 1 3-7
และโครงสร้างของเรื่อง ส�ำหรับศิลปะผสม เช่น ภาพยนตร์รูปทรงก็ก่อเกิดจากการรวมตัวของ
องค์ประกอบศิลป์หลายอย่างผสมกันปรากฏออกมาเป็นจังหวะ ท่าทาง การจัดฉาก แสง สี ดังนี้ เป็นต้น
นักสุนทรียศาสตร์หลายคนเชื่อว่าศิลปะมีความสัมพันธ์กับโลกภายนอก เนื้อหาของศิลปะมี
ความส�ำคัญในการก�ำหนดคุณค่าของศิลปะ โดยบางคนเช่ือว่า ศิลปะควรถ่ายทอดเร่ืองราวของธรรมชาติ
บางคนเชอื่ วา่ ศลิ ปะควรเปน็ เครอื่ งมอื ในการรบั ใช้ความดี หรือบางคนเช่อื วา่ ศลิ ปะควรสะท้อนปญั หาสังคม
แตก่ ลบั มนี กั สนุ ทรยี ศาสตรอ์ กี กลมุ่ หนง่ึ ทเ่ี ชอื่ วา่ เนื้อหามิได้มีความส�ำคัญในการก�ำหนดคุณค่าของศิลปะ
รูปทรงต่างหากที่เป็นสิ่งท่ีส�ำคัญท่ีสุดของศิลปะ ความคิดนี้เป็นความคิดของนักสุนทรียศาสตร์ท่ีเรียก
กันว่านักทฤษฎีรูปทรง (Formalist) ซึ่งเช่ือว่า รูปทรงคือหัวใจส�ำคัญของศิลปะ ความเพลิดเพลิน ความ
สุนทรีย์ หรือความซาบซึ้งต่อศิลปะอย่างแท้จริงต้องเกิดจากการรับรู้ต่อรูปทรงเท่านั้นไม่ใช่จากเน้ือหา
ของศิลปะ ศิลปะหรือรูปทรงมีค่าในตัวเองโดยไม่ได้เป็นเครื่องมือรับใช้หรือสัมพันธ์กับส่ิงใดจากโลก
ภายนอก (จรูญ โกมุทรัตนานนท์, 2539, น. 51-53)
นักทฤษฎรี ปู ทรงแห่งลทั ธศิ ลิ ปะฟอร์มอลลิสม์ (Formalism) หรือรูปทรงนยิ ม (รปู แบบนิยม) ท่ี
มชี อ่ื เสยี งกม็ ี เชน่ คลฟี เบลล์ (Clive Bell) โรเจอร์ ฟราย (Roger Fry) และอคี อรด์ เฮนสรคิ ก์ (Eduard
Hanslicks) เปน็ ตน้ ตา่ งกย็ นื ยนั วา่ รปู ทรงเทา่ นน้ั ทเ่ี ปน็ สงิ่ สำ� คญั ในคณุ คา่ ทางสนุ ทรยี ะ ลกั ษณะสำ� คญั ของ
ศิลปะกค็ ือ เอกภาพขององคป์ ระกอบหรอื ความกลมกลนื กันของสว่ นประกอบตา่ งๆ ท่ีแตกต่างกัน กลา่ ว
คอื ศิลปะวตั ถจุ ะตอ้ งประกอบด้วย ส่วนประกอบทีม่ ีลกั ษณะตา่ งๆ กันแต่ท�ำใหก้ ลมกลนื กันเป็นเอกภาพ
เพราะถา้ มแี ตส่ ่ิงทข่ี ัดแยง้ กนั ก็จะไมเ่ ปน็ ระเบียบชวนดู แตถ่ า้ มีแต่สิ่งท่ีเหมือนกนั ก็จะมีแต่ความซาํ้ ซากนา่
เบอ่ื หนา่ ย สว่ นประกอบทกุ สว่ นจงึ ตอ้ งสมั พนั ธก์ นั อยา่ งแนบเนยี นและมคี วามสำ� คญั ตอ่ กนั ถา้ เปลยี่ นแปลง
หรือแยกส่วนใดสว่ นหน่งึ ออกจะทำ� ให้มีผลกระทบถงึ ส่วนรวมท้ังหมด คลฟิ เบลล์ ยงั มคี วามเห็นว่า ความ
รู้สึกตอบสนองในทางสุนทรียะนั้นเป็นความรู้สึกที่มุ่งตรงไปยังรูปทรงของศิลปะวัตถุเลยทีเดียว ซ่ึงความ
รู้สึกดังกล่าวนี้จะหมดความเป็นสุนทรียะไปในทันทีถ้าผู้ดูศิลปะวัตถุมุ่งท่ีจะค้นหาความคิดหรือข้อเท็จจริง
อะไรบางอย่างที่เคยรู้หรือเคยรู้สึกตามธรรมดาท่ัวไปแทนท่ีจะสนใจต่อรูปทรงของศิลปวัตถุนั้น (สุเชาว์
พลอยชุม, 2516, น. 35-36)
โรเจอร์ ฟราย ซงึ่ เปน็ นกั วจิ ารณศ์ ลิ ปะดา้ นทศั นศลิ ปท์ มี่ ชี อื่ เสยี งชาวองั กฤษเชน่ เดยี วกบั คลฟิ เบลล์
ก็เชื่อว่า ความซาบซึ้งในศิลปะต้องเกิดจากรูปทรงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ว่าศิลปะนั้นจะแสดงออกมา
ดว้ ยเรอ่ื งราวใดๆ กต็ าม อดี อรด์ เฮนสรคิ ก์ นกั วจิ ารณด์ นตรชี าวเวยี นนา ซง่ึ เขยี นหนงั สอื ชอื่ The Beau-
tiful in Music ก็กลา่ ววา่ ความซาบซึ้งต่อดนตรีอย่างแท้จริงนน้ั เราตอ้ งเก่ียวข้องเพียงตวั ของดนตรเี อง
โดยปราศจากเป้าหมายอ่ืนใด เราจะต้องรับรู้เพียงเสียงหรือรูปทรงของดนตรีคือ จังหวะ ท�ำนอง การ
ประสานเสยี ง เทา่ นน้ั ดนตรสี ามารถปลกุ อารมณค์ นฟงั ใหเ้ กดิ ความรกั ความกลวั หรอื ความเศรา้ ไดก้ จ็ รงิ
แตอ่ ารมณเ์ หลา่ นไ้ี มใ่ ชส่ ง่ิ สำ� คญั ของดนตรี ไมใ่ ชอ่ ารมณส์ นุ ทรยี อ์ นั แทจ้ รงิ และสามารถเปลยี่ นแปลงไปตาม
แตล่ ะบคุ คล เฮนสรคิ กป์ ฏเิ สธแมก้ ระทง่ั เนอ้ื เพลงวา่ ไมใ่ ชส่ ง่ิ ทที่ ำ� ใหด้ นตรมี คี ณุ คา่ ขนึ้ มา ดนตรที มี่ คี วามงาม
ทสี่ ดุ คอื ดนตรที ม่ี กี ารบรรเลงเพยี งอยา่ งเดยี ว รปู ทรงอนั บรสิ ทุ ธเ์ิ ทา่ นน้ั ทเ่ี ปน็ ตวั ก�ำหนดความงามของดนตรี
(จรูญ โกมทุ รตั นานนท์, 2539, น. 53-60)