Page 56 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 56

15-46 ทฤษฎีและการวิจารณภ์ าพยนตร์
       เม่ือดาราคือสัญญะแบบหน่ึง ความหมายของดาราก็อาจมีการแปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดนิ่งได้

เช่นกัน ในบางยุคดาราคนหน่ึงอาจมีนัยของความสวยเซ็กซี่ แต่เม่ือยุคสมัยแปรเปลี่ยน ภาพลักษณ์ของ
เธอกอ็ าจตอ้ งเปลี่ยนบทบาทที่เข้มข้นมากขึน้ นั่นก็เทา่ กับวา่ เธอกำ� ลงั เปลี่ยนความหมายของตัวเธอเอง

       ในชว่ งหลัง ไดเออร์ ยงั ขยายการวเิ คราะหส์ ู่ผชู้ มดารา และแสดงใหเ้ ห็นว่า ผ้ชู มกม็ อี �ำนาจในการ
ตีความหมายดารา และรวมถึงการตีความหมายไปในทิศทางต่อรองท่ีได้ตั้งไว้ ดังเช่น กรณีของดารา
นักแสดงอย่าง จูด้ี การ์แลนด์ (Judy Garland) ซ่ึงกลุ่มเพศที่สามกลับตีความดาราของเธอให้เข้ากับ
กล่มุ เพศทีส่ ามไดอ้ ยา่ งแนบเนยี น (Turner, 1999 และ Benyahia & Mortimer, 2013)

       จากข้อสังเกตของไดเออร์ข้างต้น การศึกษาดาราในช่วงต่อมาก็ได้ให้ความสนใจต่อผู้ชมเพิ่มขึ้น
ดังตวั อยา่ งงานของ แจ็คก้ี สเตยซ์ ่ี (Jackie Stacey) ในงานเรอ่ื ง สตาร์ เกซซิ่ง (Star Gazing) ซง่ึ ให้
ความส�ำคัญต่อผู้ชมสตรีกับการรับชมดาราสตรี ข้อค้นพบอาจต่างไปจากงานของส�ำนักสกรีนที่มองผู้ชม
สตรถี กู กระทำ� วธิ วี จิ ยั ของเธอใหผ้ อู้ า่ นนติ ยสารสตรมี ารว่ มโครงการวจิ ยั ตอบแบบสอบถามและเขยี นเรอื่ ง
ราวเก่ียวกับสิง่ ทรี่ ะลึกไดจ้ ากการชมภาพยนตร์ ผลการวจิ ัยแสดงให้เหน็ ว่า ผชู้ มสตรมี ใิ ชผ่ ูถ้ กู กระทำ� เธอ
มสี ทิ ธใิ นการเลอื ก และทส่ี ำ� คญั คอื ผชู้ มสตรกี ลบั มกี ารจอ้ งมองตามความตอ้ งการ (pleasure of looking)
ของสตรีเอง ตลอดจนการมีความสขุ ในการจอ้ งมองดาราหญงิ ในฐานะแฟนคลบั ชน่ื ชม ยกย่อง และเปน็
แรงบันดาลใจ เม่ือภาพยนตร์จบลงเธอเหล่านั้นก็ยังพูดคุย การแต่งตัว รวมถึงแสดงท่าทางไปตามดารา
สตรีทไ่ี ดช้ ม (Benyahia & Mortimer, 2013) กริปเซริด และลาวิก (Gripsrud & Lavik, 2008) ต้งั ขอ้
สังเกตเพ่ิมเติมว่า การศึกษาดาราในช่วงหลังเร่ิมขยับไปสู่การศึกษาแฟนคลับ ทั้งน้ี ก็เนื่องจากลักษณะ
ของดารากับแฟนเป็นสงิ่ ท่เี ชื่อมโยงกนั ไดง้ ่าย

       ในช่วงทศวรรษถัดมาคือ 1990 การศึกษาเก่ียวกับแฟนหรือผู้ท่ีคลั่งไคล้ในภาพยนตร์และดาราก็
กอ่ ตวั ขนึ้ ภายใตง้ านของ เฮนรี่ เจนกนิ้ ส์ (Henry Jenkins) เรอื่ ง เทก็ ซช์ วั ร์ โพเชอรส์ (Textual Poachers)
งานของเขาให้ความสนใจศึกษากลุ่มคนที่สนใจและหลงใหลในส่ิงใดสิ่งหน่ึงอย่างสูง จนอาจกลายเป็น
วัฒนธรรมย่อยแบบหนึ่ง (subculture) จุดนี้เองอาจกล่าวได้ว่า ได้ย้อนกลับไปให้ความสนใจศึกษาคน
สามญั ธรรมดาและชวี ติ ประจำ� วันของผูค้ นตามสำ� นกั วฒั นธรรมศกึ ษาท่ีวางไวแ้ ตต่ น้

       การศึกษากลุ่มแฟนนั้นมักจะให้ความสนใจผู้รับสารท่ีหาใช่ผู้ที่ถูกกระท�ำแต่อย่างเดียว หรือผู้ท่ี
หลงใหลคลง่ั ไคลใ้ นส่ิงไร้สาระ แต่กลับมองวา่ แฟนกค็ ือบุคคลทส่ี นใจบางสงิ่ บางอยา่ งมาก ตดิ ตาม ช่ืนชม
ผลงานอย่างมาก เหตุนี้แฟนจงึ เปน็ ผู้รบั สารทกี่ ระตือรอื รน้ อยา่ งมาก

       จอหน์ ฟสิ เก้ (John Fiske อา้ งถงึ ใน กาญจนา แกว้ เทพ, 2555) ใหค้ วามหมายของแฟนวา่ เปน็
ทัง้ ในดา้ นของการติดตามขา่ วสารขอ้ มลู มีความเขา้ ใจเนอื้ หาทีต่ นเองสนใจอยา่ งสงู สามารถเปน็ ผวู้ ิจารณ์
งานท่ีตนรักได้อย่างคมชัดไปจนถึงสามารถต่อรองตัวบทหรืออาจเรียกว่า ขั้นตอนนี้ได้ว่า เซมิโอติก
โปรดักซ์ทิวิต้ี (semiotic productivity) ในจดุ นเ้ี องอาจถอื ไดว้ า่ เป็นการเดนิ รอยตามแนวทางของฮอลล์
ทใี่ หค้ วามสนใจตวั บททีผ่ รู้ บั สารสามารถอา่ นและต่อรองความหมาย

       ในทศั นะของฟสิ เก้ แฟนยงั เปน็ ผสู้ นใจมสี ว่ นรว่ มในกระบวนการตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วกบั สงิ่ ทตี่ นรกั อกี ทง้ั
การรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มแฟนเพ่ือแลกเปล่ียนความรู้ ความคิด การสร้างความสัมพันธ์ หรือเรียกว่า
อีนันซิเอทีฟล่ี โปรดักซ์ทิวีตี้ (enunciatively productivity) และในบางกรณีการรวมตัวกันก็จะสร้าง
   51   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61