Page 275 - การส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
P. 275

การส​ ื่อสารด​ ้าน​สุขภาพ​และ​ความร​ ู้ค​ วาม​สามารถ​ด้าน​สุขภาพ 9-29

                          บทนำ

       ความ​รู้​ความ​สามารถ​ด้าน​สุขภาพ (Health Literacy) ของ​บุคคล​มี​ความ​แตก​ต่าง​กัน​มา ตั้งแต่​เกิด​จาก
ภูมิลำเนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี​วัฒนธรรม สิ่ง​แวดล้อม ระดับก​ ารศ​ ึกษา และ​ฐานะ ทำให้ก​ ารร​ ับร​ ู้​ข้อมูล​ข่าวสาร​
ทาง​ด้าน​สาธารณสุข​ของ​แต่ละ​บุคคล​มี​ความ​แตก​ต่าง​กัน สืบ​เนื่องจาก​ความ​เข้าใจ​ใน​ข้อมูล​ที่​ได้​รับ​มี​ความ​แตก​ต่าง​
กัน​ไป​ตาม​ปัจจัย​ต่างๆ ดัง​ได้​กล่าว​แล้ว​ข้าง​ต้น ทำให้​ผู้​ได้​รับ​ข้อมูล​นำ​ข้อมูล​ที่​ได้​ไป​ใช้​ใน​การ​ดูแล​สุขภาพ​แตก​ต่าง​กัน
การ​ให้​ข้อมูล​ด้าน​สุขภาพ​ต้อง​คำนึง​ระดับ​ความ​รู้​ความ​สามารถ​ด้าน​สุขภาพ​ที่​แตกต่าง​เพื่อ​ป้องกัน​ความ​ผิด​พลาด
ตัวอย่าง​เช่น การ​ปฏิบัติ​ตัว​ไม่​ถูก​ต้อง​ตาม​แพทย์​สั่ง แพทย์​นัด​มา​ตรวจ​และ​ให้​งด​อาหาร​และ​น้ำ​ก่อน​มา​ตรวจ​อย่าง​
น้อย 8 ชั่วโมง ผู้รับ​บริการป​ ฏิบัติต​ ัว​ไม่ถ​ ูกต​ ้อง รับ​ประทานอ​ าหารต​ าม ปกติ ทำให้ต​ ้อง​เลื่อน​การต​ รวจ​ออก​ไป หรือ​การ
​ไม่​กลับ​มา​ตรวจ​ตาม​นัด​ทำให้​อาการ​ของ​โรค​ที่​เป็น​อยู่​ไม่​หายขาด การ​รับ​ประทาน​ยา​ปฏิชีวนะ​ไม่​ครบ​ตาม​ขนาด​ที่​ควร​
รับ​ประทาน ทำให้เ​ชื้อ​โรค​ดื้อ​ต่อ​ยา

เรื่อง​ท่ี 9.2.1
แนวคิดข​ อง​ความ​รู้​ความส​ ามารถด​ า้ น​สขุ ภาพ

       ความ​รู้​ความ​สามารถ​ด้าน​สุขภาพ​เกิด​จาก​การ​ให้​สุขศึกษา​แนว​ใหม่ (การ​ให้​สุขศึกษา​ที่​เน้น​ผล​สัมฤทธิ์ หรือ​
ผลลัพธ์) ซึ่ง​อธิบาย​ผล​ของ​การ​ให้​ความ​รู้​ทาง​สาธารณสุข​โดย​การ​เน้น​การ​ให้​ผู้รับ​ข้อมูล​มี​ส่วน​ร่วม​ใน​การ​ร่วม​คิด ร่วม​
ทำ ร่วม​สร้าง ร่วม​แสดงค​ วาม​คิดเ​ห็น หรือห​ มาย​ถึง การใ​ห้​สุขศึกษา​ที่​ให้​ผู้รับข​ ้อมูล​เป็น​ศูนย์กลาง คำนึงถ​ ึงผ​ ลก​ ารร​ ับ​
ข้อมูล​ของ​ผู้รับ​สาร​เป็น​สิ่ง​สำคัญ ปัจจุบัน​ประชาชน​ใน​ประเทศ​มี​ความ​เป็น​อยู่​ที่​ดี​ขึ้น ภาวะ​สุขภาพ​ของ​ประชาชน​ส่วน​
ใหญ่ใ​นป​ ระเทศ​เกิด​จากว​ ิถี​การด​ ำเนิน​ชีวิต​ประจำว​ ัน (Lifestyles) การ​ให้ส​ ุขศึกษาด​ ั้งเดิม​นั้น​เน้นก​ าร​ให้ข​ ้อมูล​อยู่​บน​
พื้น​ฐาน​ของ​ความ​สัมพันธ์​ระหว่าง​ความ​รู้​เกี่ยว​กับ​โรค ผล​ปรากฏ​ว่า การ​ให้​สุขศึกษา​โดย​การ​ให้​ข้อมูล​ที่​ถูก​ต้อง​เพียง​
อย่าง​เดียว​โดย​ไม่​ได้​คำนึง​ถึง​ขนบธรรมเนียม ประเพณี สภาพ​สังคม ระดับ​การ​ศึกษา เศรษฐกิจ ฐานะ สิ่ง​แวดล้อม​
ของบ​ ุคคล จึง​ทำให้​ไม่ส​ ามารถ​บรรลุ​วัตถุประสงค์​ที่​จะ​ทำให้ป​ ระชาชนท​ ี่มา​รับบ​ ริการ​ปรับเ​ปลี่ยน​พฤติกรรม​สุขภาพไ​ด้
ใน ค.ศ. 1980 มี​ทฤษฏี​ทางการ​ศึกษา​ใหม่ๆ เกิด​ขึ้น​ใน​การ​จัดการ​ศึกษา ตัวอย่าง​เช่น ทฤษฏี​ขอ​งอัจ​เซน​และ​ฟิชไบน์
(Ajzen and Fishbein’s Theory of Planned, Bandura’s Social Learning Theory) (Ajzen and Fishbein,
1980; Bandura, 1986 อ้างใ​น Nutbeam, D., 2000) ซึ่งเ​ป็นท​ ฤษฏที​ ีช่​ ่วยอ​ ธิบายค​ วามส​ ัมพันธร์​ ะหว่างค​ วามร​ ู้ ความเ​ชื่อ
ขนบธรรมเนียม ค่า​นิยม ทำให้​นักการ​สาธารณสุข​นำเ​อาค​ วาม​รู้​ดัง​กล่าวม​ าจ​ ัด​กิจกรรม​ใน​การ​ให้ส​ ุขศึกษาโ​ดย​ให้​ความ​
สำคัญก​ ับบ​ ริบทข​ องส​ ังคม ช่วยใ​ห้บ​ ุคคลส​ ามารถป​ รับเ​ปลี่ยน​พฤติกรรม​เพื่อก​ ารส​ ่งเ​สริมสุขภ​ าพไ​ด้ด​ ีข​ ึ้น ใน ค.ศ. 1995
แอนเด​รีย​เสน (Andreasen, 1995) ได้​นำ​เอา​ทฤษฏี​การ​ตลาด​เพื่อ​สังคม​มา​ใช้​เป็น​เครื่อง​มื่อ​ใน​การ​จัด​กิจกรรม​ใน​
การใ​หข​้ อ้ มลู ด​ า้ นส​ ขุ ภาพ โดยใ​ชก​้ ารส​ อื่ สารเ​พอื่ ก​ ารส​ ง่ เ​สรมิ แ​ ละส​ นบั สนนุ ใ​นก​ ารว​ เิ คราะหแ​์ ละแ​ กไ้ ขป​ ญั หาส​ ขุ ภาพท​ ซ​่ี บั ซ​ อ้ น
ตลอดจ​ นส​ ามารถใ​หข้​ ้อมูลส​ ุขภาพต​ ่อป​ ระชาชนเ​ป็นกล​ ุ่มใ​หญไ่​ด้ อย่างไรก​ ็ตาม การป​ รับเ​ปลี่ยนพ​ ฤติกรรมข​ องค​ นจ​ ะไ​ม​่
คงทน และ​ยัง​พบ​ว่า มีค​ วาม​แตก​ต่าง​ในก​ าร​ปรับ​เปลี่ยน​พฤติกรรมร​ ะหว่างช​ นชั้นท​ างเ​ศรษฐกิจใ​นส​ ังคม​อีก​ด้วย

                              ลขิ สทิ ธขิ์ องมหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช
   270   271   272   273   274   275   276   277   278   279   280