Page 165 - สังคมโลก
P. 165

สงครามกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมโลก 7-59

       ผลตอ่ มากค็ อื หลายประเทศไดม้ กี ารเปลีย่ นแปลงทางการเมอื งการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธริ าชย์
มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ อาทิ การสละราชสมบัติของจักรพรรดิไกเซอร์ วิลเฮล์มที่ 2 (Kaiser Wilhelm II) พร้อมกับ
การสิ้นสุดของราชวงศ์โฮเฮนโซเลิร์นแห่งเยอรมนีใน ค.ศ. 1918 การสละราชสมบัติของจักรพรรดิคาร์ลที่ 1 (Karl I)	
พร้อมกับการสิ้นสุดของราชวงศ์ฮับสบวร์กแห่งออสเตรียใน ค.ศ. 1918 และการสละราชสมบัติของสุลต่านเมห์เม็ด
ที่ 6 (Mehmed VI) พร้อมกับการสิ้นสุดของราชวงศ์ออตโตมานแห่งตุรกีใน ค.ศ. 1922 เป็นต้น88 ในขณะเดียวกัน
ประเทศทีเ่ คยอยูภ่ ายใตก้ ารปกครองของมหาอำ�นาจเหลา่ นีก้ ไ็ ดร้ บั เอกราช เชน่ โปแลนด์ ฮงั การี บอสเนยี -เฮอรเ์ ซโกวนิ า	
ทรานซิลเวเนีย ซีเรีย ทรานส์จอแดเนีย และอาระเบีย เป็นต้น แม้แต่ประเทศที่เป็นอาณานิคมของมหาอำ�นาจ	
ผู้ชนะสงครามอย่างอินเดีย ก็ได้รับการผ่อนปรนด้านสถานภาพทางการเมืองและอิสรภาพในการปกครองตนเองมาก
ขึ้นจากอังกฤษ เช่น อินเดียได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติ แม้จะมีฐานะเป็นอาณานิคม
ของอังกฤษก็ตาม เป็นต้น

       ผลทีส่ �ำ คญั คอื มกี ารจดั ตัง้ องคก์ ารระหวา่ งประเทศระดบั โลกเพือ่ การรกั ษาสนั ตภิ าพและความรว่ มมอื ระหวา่ ง
รัฐขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1920 นั่นคือองค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations) ซึ่งนับตั้งแต่การเริ่มดำ�เนินการ
ใน ค.ศ. 1920 จนถึงวันสิ้นสุดใน ค.ศ. 1946 มีสมาชิกทั้งสิ้น 63 ชาติ นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศต่างๆ ไม่ว่าเล็กหรือ
ใหญ่ต่างมีส่วนร่วมในการเข้าประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อธำ�รงรักษาสันติภาพ ความมั่นคง และส่งเสริมความเจริญ
ก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของโลก แต่อย่างไรก็ตามประเทศที่ยังตกเป็นอาณานิคมของมหาอำ�นาจยังไม่ได้รับ
สทิ ธใิ หส้ มคั รเขา้ เปน็ สมาชกิ ยกเวน้ อนิ เดยี ประเทศเดยี ว แตใ่ นความเปน็ จรงิ นัน้ องั กฤษและฝรัง่ เศสซึง่ เปน็ มหาอ�ำ นาจ
ผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 ก็ยังมีบทบาทครอบงำ�องค์การสันนิบาตชาติอย่างมาก ในขณะที่มหาอำ�นาจอื่นๆ ได้แก่
รัสเซีย ญี่ปุ่น เยอรมนี และอิตาลี มีบทบาทเป็นรอง และสหรัฐอเมริกาก็ไม่เข้าเป็นสมาชิกเนื่องจากรัฐสภาลงมติไม่ให้
เข้าร่วมในองค์การดังกล่าว เพราะสหรัฐอเมริกายึดถือนโยบายการไม่เข้าแทรกแซง (non-intervention) การเมืองใน
ทวีปยุโรป ตามหลักการการอยู่อย่างโดดเดี่ยว (Isolationism) (ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้มหาอำ�นาจในยุโรปเข้า
มาแทรกแซงกิจการของประเทศต่างๆ ในทวีปอเมริกาด้วย) บรรดารัฐสมาชิกเล็กๆ ก็มีบทบาทน้อย ทำ�ให้การดำ�เนิน
การของสันนิบาตชาติประสบความสำ�เร็จในช่วงแรกของการก่อตั้งเท่านั้น ในทศวรรษที่ 1930 เมื่อมหาอำ�นาจต่างๆ
ได้แก่ เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น และสหภาพโซเวียต เริ่มเข้มแข็งขึ้นและมีนโยบายต่างประเทศที่ก้าวร้าว มุ่งขยายอำ�นาจ
รุกรานประเทศอื่น การรักษาสันติภาพและการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศของสันนิบาตชาติจึงล้มเหลวเรื่อยมาจน
กระทั่งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2

       นอกจากนั้นคณะมนตรีของสันนิบาตชาติยังได้ดำ�เนินการจัดตั้งศาลยุติธรรมประจำ�ระหว่างประเทศ (Per-
manent Court of International Justice) เพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศทางกฎหมายและพิจารณาพิพากษา
ข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐด้วย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมืองทำ�ให้โลก
แบ่งออกเป็น 3 ค่ายใหญ่ๆ ได้แก่ ค่ายเสรีประชาธิปไตย มีสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศสเป็นมหาอำ�นาจที่สำ�คัญ
ค่ายคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ� และค่ายฟาสซิสต์ ที่มีเยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่นเป็นแกนอักษะ แต่เมื่อ
สงครามยตุ ลิ งมหาอำ�นาจฟาสซสิ ตไ์ ดถ้ กู ทำ�ลายลง สงั คมโลกจงึ เหลอื เพยี งการเผชญิ หนา้ ระหวา่ งคา่ ยเสรปี ระชาธปิ ไตย
ที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ�  กับค่ายคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ�  โลกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างแท้จริง
สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก และประเทศในทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ที่เป็นอาณานิคมของมหาอำ�นาจ
ตะวันตก ตลอดจนประเทศที่เลือกแนวทางเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมประชาธิปไตย อยู่ในค่ายหนึ่ง ส่วนสหภาพ
โซเวียต ยุโรปตะวันออก และประเทศคอมมิวนิสต์ในเอเชีย ได้แก่ มองโกเลียและเกาหลีเหนือ อยู่อีกค่ายหนึ่ง ซึ่งต่อ

	 88 สำ�หรับราชวงศ์ชิงของจีน สิ้นสุดลงตั้งแต่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1911 โดย ดร.ซุนยัดเซ็น
จักรพรรดิองค์สุดท้ายคือพระเจ้าผู่อี๋ (??)	   

                              ลิขสิทธขิ์ องมหาวทิ ยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช
   160   161   162   163   164   165   166   167   168   169   170