Page 114 - หลักการและทฤษฎีการศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพครู
P. 114
10-104 หลักการและทฤษฎีการศึกษาเกี่ยวกับวิชาชีพครู
เคร่ืองหมายวรรคตอนท่ีส�ำคัญในภาษาอังกฤษมี 11 อย่างคือ period หรือ full stop (.) comma
(,) semicolon (;) colon (:) dash (—) hyphen (-) parenthesis ( () ) apostrophe (’) question mark
(?) exclamation mark หรือ exclamation point (!) และ quotation mark (“- - ”) ทั้ง 11 อย่างนี้ท�ำ
หน้าท่ีแตกต่างกัน นักศึกษาต้องศึกษาวิธีการใช้ให้เข้าใจและใช้ได้อย่างคล่องแคล่วจึงจะเขียนภาษาอังกฤษ
ได้ดี โดยอาจศึกษาเพ่ิมเติมจากต�ำราต่าง ๆ หรือในเอกสารดังนี้
Fieg, John Paul (2528). “เคร่ืองหมายวรรคตอน” ตอนที่ 2.3 ใน “หน่วยท่ี 2 กลไกในการ
เขียน” ใน เอกสารการสอนชุดวิชาการเขียนภาษาอังกฤษ นนทบุรี สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช
3. ภาษาอังกฤษมกี ารใช้ article น�ำหน้าคำ� นาม ในขณะที่ภาษาไทยไม่มี ดังนั้นการใช้ article จึง
เป็นปัญหาในการเขียนภาษาอังกฤษของคนไทยอีกปัญหาหน่ึง
article ที่ใช้ในภาษาอังกฤษมีสองประเภทคือ
1) indefinite article คือ article ท่ีแสดงความไม่จ�ำเพาะเจาะจง ได้แก่ a (ใช้ในกรณีท่ีน�ำ
หน้าค�ำนามท่ีข้ึนต้นด้วย พยัญชนะ เช่น a book, a cat) และ an (ใช้ในกรณีท่ีน�ำหน้าค�ำนามท่ีข้ึนต้นด้วย
สระ เช่น an ant, an apple) ความไม่จ�ำเพาะเจาะจงหมายความว่า คนนั้นหรือส่ิงน้ันเป็นเพียงหนึ่งในบรรดา
หลาย ๆ คน หรือหลาย ๆ สิ่งท่ีมีอยู่เหมือน ๆ กันในโลก เช่น ในประโยคที่ว่า I saw an ant หมายความว่า
ฉันได้เห็นมดตัวหน่ึง (ในบรรดามดท้ังหลายท่ีมีอยู่ในโลกน้ี)
2) definite article คือ article ท่ีแสดงความจ�ำเพาะเจาะจง ได้แก่ the เม่ือใช้น�ำหน้า
ค�ำนาม เป็นการช้ีเฉพาะลงไป เช่น the man หมายถึงผู้ชายคนน้ันหรือ the dog หมายถึง หมาตัวน้ัน
การท่ีจะแสดงความจ�ำเพาะเจาะจงได้เช่นน้ีจะต้องมีเหตุผลสนับสนุน นั่นคือต้องมีข้อความขยายเพ่ือแสดง
ความจ�ำเพาะเจาะจงตัวอย่างเช่น The man whom I saw yesterday is my uncle. ข้อความที่ว่า whom
I saw yesterday เป็นข้อความขยายเพ่ือแสดงความจ�ำเพาะเจาะจงของ the man
ปัญหาการใช้ article ส�ำหรับคนไทยมองดูเผิน ๆ ก็จะนึกว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่ความจริง
เป็นปัญหาท่ีสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อนมาก แม้แต่ผู้ท่ีเรียนภาษาอังกฤษเป็นเวลานาน ก็ยังใช้ไม่ได้ดี
เหตุท่ีเป็นเช่นน้ีก็เพราะสิ่งท่ีจะต้องตัดสินใจไม่ได้มีเพียงว่าเมื่อไรควรใช้ a หรือ an และเมื่อไรควรใช้ the
เท่าน้ัน แต่ยังต้องตัดสินใจด้วยว่า เมื่อไรไม่ต้องใช้ article (คือไม่ใช้ทั้ง a, an และ the)
การที่จะตัดสินใจได้ว่า เม่ือไรควรใช้หรือไม่ควรใช้ article ใดน�ำหน้าค�ำนามค�ำใดน้ัน ก็จะ
ต้องพิจารณาว่าค�ำนามนั้นเป็นประเภทท่ีสามารถใช้ the น�ำหน้าเพ่ือแสดงความจ�ำเพาะเจาะจงหรือเน้นได้
หรือไม่ หรือเป็นค�ำนามที่นับได้และอยู่ในรูปเอกพจน์ซึ่งสามารถใช้ a หรือ an น�ำหน้าได้หรือไม่ หากไม่ใช่
ท้ังสองกรณีก็ไม่ต้องมี article น�ำหน้า