Page 28 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 28
4-18 ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยสี �ำ หรับนกั นิเทศศาสตร์
ในช่วงเวลาดังกล่าวท่ีเร่ิมมีการช่วงชิงอ�ำนาจการน�ำระหว่างข้าราชการและนักการเมืองอย่างรุนแรง เป็น
ผลใหเ้ กดิ การใชก้ ำ� ลงั แยง่ ชงิ อำ� นาจรฐั เกดิ ขนึ้ และในทสี่ ดุ พฒั นาสขู่ น้ั การรอมชอมระหวา่ งพลงั อำ� นาจทง้ั สอง
อาจกล่าวได้วา่ ประชาธิปไตยครงึ่ ใบคอื สภาวะของการรอมชอมระหว่างกลุม่ อำ� นาจสองฝา่ ยดงั กลา่ ว
ชว่ งเวลาทีเ่ รยี กขานกันวา่ ประชาธิปไตยครึ่งใบได้แก่ยคุ สมัย พล.อ. เกรยี งศักดิ์ ชมะนันทน์ และ
พล.อ. เปรม ตณิ สูลานนท์ เปน็ นายกรฐั มนตรีระหว่าง ปี พ.ศ. 2520-2531 หรอื ในช่วงทร่ี ฐั ธรรมนูญฉบับ
พ.ศ. 2521 มผี ลบงั คบั ใช้ หลงั จากนนั้ เมอ่ื พล.อ. ชาตชิ าย ชณุ หะวณั หวั หนา้ พรรคชาตไิ ทยขน้ึ เปน็ นายก
รัฐมนตรี ในปี พ.ศ. 2531 ไม่เรยี กว่ายุคประชาธปิ ไตยครึง่ ใบอีกตอ่ ไป
4. ระบบประชาธิปไตย
ระบบประชาธปิ ไตย คอื อำ� นาจอธปิ ไตยเปน็ ของปวงชนหรอื อำ� นาจสงู สดุ ในการปกครองประเทศ
เปน็ ของประชาชน รฐั ธรรมนญู และธรรมนูญการปกครองทกุ ฉบบั ประกาศเจตนารมณไ์ วช้ ดั เจนวา่ ตอ้ งการ
ใหป้ ระเทศไทยมกี ารปกครองแบบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษตั รยิ เ์ ปน็ ประมขุ ซงึ่ อาจวเิ คราะหแ์ ยกแยะ
หลักการสำ� คัญๆ ของการปกครองแบบประชาธปิ ไตยของไทยได้ดังน้ี
4.1 อ�ำนาจอธิปไตยและการใช้อ�ำนาจอธิปไตย รัฐธรรมนูญและธรรมนูญการปกครองทุกฉบับ
กำ� หนดอำ� นาจอธปิ ไตยซงึ่ ถอื เปน็ อำ� นาจสงู สดุ ในการปกครอง ใหม้ กี ารแบง่ แยกการใชอ้ อกเปน็ 3 สว่ น คอื
อำ� นาจนติ บิ ญั ญตั ิ หรอื อำ� นาจในการออกกฎหมาย อำ� นาจบรหิ าร หรอื อำ� นาจในการนำ� กฎหมายไปบงั คบั ใช้
และบำ� บัดทกุ ข์บำ� รงุ สขุ ประชาชน และอ�ำนาจตุลาการ หรอื อ�ำนาจในการตดั สินคดีให้เปน็ ไปตามกฎหมาย
เมื่อมีข้อขัดแยง้ เกิดข้ึน องคก์ รท่ีใช้อำ� นาจทง้ั 3 สว่ นน้ี คือ รัฐสภาเป็นผูใ้ ชอ้ ำ� นาจนิติบัญญตั ิ รฐั บาลหรือ
คณะรฐั มนตรเี ปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจบรหิ าร และศาลเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจตลุ าการ โดยใชใ้ นพระปรมาภไิ ธยของพระมหา-
กษัตรยิ ์ การก�ำหนดใหม้ กี ารแยกการใชอ้ ำ� นาจอธิปไตยออกเปน็ 3 ส่วน และใหม้ ีองค์กร 3 ฝ่าย รบั ผดิ
ชอบแตล่ ะสว่ นนเี้ ปน็ ไปตามหลกั การประชาธปิ ไตยทไ่ี มต่ อ้ งการใหม้ กี ารรวมอำ� นาจแตต่ อ้ งการใหม้ กี ารถว่ ง
ดลุ อำ� นาจซง่ึ กนั และกนั เพราะถา้ ใหอ้ งคก์ รใดเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจมากกวา่ หนงึ่ สว่ นแลว้ อาจเปน็ ชอ่ งทางใหเ้ กดิ
การใช้อ�ำนาจแบบเผด็จการได้ เชน่ ถา้ ให้คณะรัฐมนตรีเปน็ ผู้ใชอ้ ำ� นาจนติ ิบัญญัตแิ ละอ�ำนาจบริหาร คณะ
รฐั มนตรกี อ็ าจจะออกกฎหมายทไี่ มส่ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของประชาชน และนำ� กฎหมายนน้ั ไปบงั คบั
ใชเ้ พอื่ ประโยชนข์ องตนเพยี งฝา่ ยเดยี ว การแยกอำ� นาจนนั้ เปน็ หลกั ประกนั ใหม้ กี ารคานอำ� นาจซงึ่ กนั และกนั
และป้องกันการใช้อำ� นาจเผด็จการ
4.2 รปู ของรฐั ประเทศไทยจดั วา่ เปน็ รฐั เดย่ี ว รฐั ธรรมนญู และธรรมนญู การปกครองทกุ ฉบบั กำ� หนด
ไวว้ า่ ประเทศไทยเปน็ อาณาจกั รอนั หนงึ่ อนั เดยี วจะแบง่ แยกมไิ ด้ ศนู ยอ์ ำ� นาจทางการเมอื งและการปกครอง
มาจากแหลง่ เดยี วกนั ประชาชนทงั้ หมดอยภู่ ายใตเ้ อกรฐั ซง่ึ จะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามอำ� นาจหนง่ึ อำ� นาจเดยี ว พรอ้ ม
ท้ังอยู่ภายใต้รฐั ธรรมนูญและกฎหมายเดยี วกัน การใช้อำ� นาจอธิปไตยทัง้ ภายในและภายนอกประเทศเปน็
อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั ทงั้ ประเทศ การปกครองภายในประเทศแมจ้ ะมกี ารแบง่ อำ� นาจการปกครองไปตามเขต
การปกครอง เชน่ จังหวัด อ�ำเภอ ก็เป็นเพียงการแบ่งอำ� นาจตามลักษณะการปกครองสว่ นภูมิภาค เพอื่
แบ่งเบาภาระของรัฐบาลในส่วนกลางและความสะดวกของประชาชนในการรับบริการจากรัฐ อ�ำนาจท่ีแท้