Page 57 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 57
ความรดู้ ้านวัฒนธรรมและศาสนา 13-47
กล่าวได้ว่า ซิกข์ คือผู้ที่มีความรัก ความศรัทธา เช่ือถือ และยึดมั่นใน พระผู้เป็นเจ้า และ
หลักธรรมค�ำสอนที่พระศาสโนวาทหรือนานักท้ังสิบองค์ได้บัญญัติไว้ในพระมหาคัมภีร์ คุรุ ครันธ์ ซาอิบ
(พระศาสดานริ นั ดรก์ าล)
พระคัมภีร์คุรุครันธ์น้ีถือเป็นสิ่งศักด์ิสิทธ์ิของชาวซิกข์เพราะเป็นเสมือนพระศาสดาทั้งสิบองค์
ประทบั อยทู่ น่ี น่ั ทใี่ ดทพ่ี ระคมั ภรี ป์ ระดษิ ฐานจะตอ้ งมปี รำ� ไวเ้ บอ้ื งบนและมผี า้ ทำ� เปน็ เพดานขงึ ไวเ้ หนอื พระ
คมั ภรี ์ ทกุ คนท่ีเขา้ สสู่ ถานทน่ี ้นั เพ่ือสกั การบูชาจะตอ้ งท�ำด้วยความเคารพโดยก้มศรี ษะจดพน้ื ตอ่ หนา้ พระ
คมั ภรี ์ ผทู้ ไ่ี มไ่ ดน้ บั ถอื ศาสนาซกิ ขจ์ ะตอ้ งเอาผา้ คลมุ ศรี ษะหรอื สวมหมวกเมอื่ เขา้ ไปในสถานทแ่ี หง่ นน้ั พระ
คัมภีร์มีเนื้อหาเป็นธรรมะ อบรมจิตใจให้มุ่งม่ันต่อพระเจ้า ภาวนาถึงพระเจ้าเพ่ือให้คุณสมบัติของพระเจ้า
เข้าไปอยู่ในจิตใจ เม่ือพระเจ้าอยู่ในจิตใจกิเลสตัณหาจะหมดไป คนก็จะเผชิญหน้ากับพระเจ้าซึ่งเป็น
จุดหมายชวี ิตของชาวซกิ ข์
ศาสนาซิกข์ยดึ มน่ั และเช่ือถือในพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว (วาเฮ่คุรุ) อยา่ งเครง่ ครดั พระผู้เป็น
เจา้ ทรงสมบรู ณ์ และมอี ยจู่ รงิ ในทวั่ ทกุ หนทกุ แหง่ เปน็ อมตะ เปน็ ผสู้ รา้ งมลู เหตขุ องเหตทุ งั้ ปวง ไรซ้ งึ่ ความ
เป็นปฏปิ ักษ์ ความหวาดกลวั สถติ ม่ันคงในทุกสรรพส่งิ ท่ีทรงสรา้ งและคุ้มครอง มิได้ทรงเป็นพระเจา้ ของ
คณะหรือชาติใดชาติหนึ่ง แต่ทรงเป็น พระเจ้าแห่งความเมตตา คุณธรรม และสัจธรรม ทรงสร้างมนุษย์
ไม่ใช่เพื่อลงโทษในความผิดของเขา แต่ให้เขาเข้าใจในจุดประสงค์ที่แท้จริงของพวกเขาในจักรวาลสากลน้ี
และเพอ่ื หลอ่ หลอมใหก้ ลบั เขา้ ไปยงั แหลง่ กำ� เนดิ ดงั้ เดมิ การทม่ี นษุ ยจ์ ะสามารถเขา้ ถงึ พระเจา้ ไดน้ น้ั จะต้อง
ตัดกิเลสต่างๆ ท้ังห้าให้หมดส้ินเสียก่อน คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความหยิ่งยโส และความ
เห็นแก่ตัว มนุษย์ผใู้ ดทส่ี ามารถละเว้นกิเลสตา่ งๆ เหลา่ นี้ได้ ถอื ว่าเป็นผู้ดำ� รงชวี ิตตามหลกั สจั ธรรม และ
ไดเ้ ข้าถงึ พระเจ้าแล้วน่นั เอง
ความเชอ่ื ส�ำคัญอีกเรอื่ งคือเชอื่ ในเร่ืองของการกลบั ชาติมาเกดิ ใหม่ ถอื ว่า วญิ ญาณเป็นอมตะไม่รู้
จกั ดบั สญู ถา้ ใครไมต่ อ้ งการเวยี นวา่ ยตายเกดิ อกี กต็ อ้ งชำ� ระจติ ของตน ใหห้ มดจดจากกเิ ลส ชวี ติ ทไ่ี ดเ้ กดิ
มาเป็นมนุษย์นั้นถือว่าเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะมีโอกาสระลึกถึงพระเจ้า แต่การที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึง
พระเจา้ ไดห้ รือไม่นัน้ ข้ึนอย่กู บั การกระทำ� ของเขาในชาตนิ ี้ ตามหลกั ของศาสนาซกิ ข์ มนษุ ย์ทกุ คนควรจะ
พยายามอย่างที่สุดเพื่อให้หลุดพ้นจากวัฏจักรของชีวิต (การเวียนว่ายตายเกิด) ด้วยการหมั่นระลึกถึง
พระเจา้ และสวดมนตภ์ าวนา โดยในศาสนาซกิ ขน์ นั้ ถอื วา่ พระเจา้ กค็ อื ความจรงิ นนั่ เอง ดงั นนั้ มนษุ ยเ์ ราทกุ
คนจึงควรต้องด�ำรงชีวิตประจำ� วนั ตามหลักสจั ธรรมเพื่อจะได้ชว่ ยให้เข้าถึงพระเจ้าไดใ้ นที่สุด
จากหลกั คำ� สอนทไ่ี ดบ้ ญั ญตั ไิ วใ้ นพระมหาคมั ภรี ์ ครุ ุ ครนั ธ์ ซาฮบิ นน้ั ชาวซกิ ขท์ กุ คนควรจะตอ้ ง
ต่ืนแต่เช้ามืด (ตี 3-6 โมงเช้า) ก่อนอรุณรุ่ง และหลังจากที่ได้อาบน้�ำ ท�ำความสะอาดร่างกายเรียบร้อย
แล้ว ชาวซิกข์จะไปร่วม “สังกัต” (ชุมนุม) ประจ�ำวัน ควรจะสวดมนต์ภาวนา อ่านคัมภีร์และท�ำ “นาม
ชาปณะ” (การทำ� สมาธถิ งึ พระนามของพระเจา้ ) หรอื “วาเฮค่ รุ ”ุ การสวดมนตน์ จี้ ะชว่ ยขจดั ความทกุ ขย์ าก
ล�ำบากทั้งปวงในชีวิตให้หมดไป บทสวดมนต์ภาวนาเพื่อขอพรและร�ำลึกถึงพระเจ้าที่ชาวซิกข์ควรปฏิบัติ
เป็นประจำ� ทกุ วนั ในตอนเช้า ตอนเย็น และตอนค�ำ่ (ตอนเชา้ บทสวดมนต์ ยับยิ ซาฮิบ และญาบ ซาฮิบ
และซาวยั เย้ ทง้ั 10 บท ตอนเยน็ บทสวดมนต์ แรฮ่ ร์ าสและตอนคำ�่ เวลากอ่ นเขา้ นอน บทสวดมนตโ์ ซฮลิ า่ )