Page 58 - ความรู้ทางสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี สำหรับนักนิเทศศาสตร์
P. 58
13-48 ความรูท้ างสงั คมศาสตร์และเทคโนโลยีสำ� หรับนกั นเิ ทศศาสตร์
ในศาสนาซกิ ขน์ น้ั มเี รอ่ื งทนี่ า่ สนใจเกย่ี วกบั สทิ ธสิ ตรี โดยสตรชี าวซกิ ขจ์ ะไดร้ บั การยอมรบั ในสงั คม
และมีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษชาวซิกข์ทุกประการ จะมีความเป็นอิสระและมีเสรีภาพเช่นเดียวกับบุรุษ
สามารถแสดงความคดิ เหน็ และรว่ มประกอบศาสนากจิ ตา่ งๆ รวมถงึ พธิ กี ารรบั นำ�้ อมฤต ไดอ้ ยา่ งบรุ ษุ ชาว
ซิกข์ทุกประการ ไม่จ�ำเป็นจะต้องสวมผ้าคลุมหน้า แต่การสวมเส้ือผ้าท่ีไม่สุภาพเรียบร้อยจะถือเป็นการ
เสอื่ มเสยี เกยี รตเิ ปน็ อยา่ งยง่ิ จะไมม่ ขี นบธรรมเนยี มประเพณที เี่ ปน็ การละเมดิ สทิ ธสิ ตรี อยา่ งเชน่ “พธิ ซี าต”ิ
หรือ พิธีการเผาหญิงหม้ายท้ังเป็นให้ตายตามสามี ซึ่งเป็นประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันในศาสนาฮินดู
หญิงหม้ายชาวซิกข์ทุกคนจะมีสิทธิในการที่จะสมรสใหม่ตามความประสงค์และจะห้ามมิให้มีการเรียกร้อง
ค่าเล้ยี งดูจากการหยา่ และการเรยี กร้องสินสอดทองหมั้นจากการแตง่ งานอย่างเดด็ ขาด
ศาสนสถานของศาสนาซิกข์ เรยี กว่า พระศาสนสถานคุรุดวารา (วัดซิกข์) คุรุดวารา หมายถึง
ประตหู รอื ทางทท่ี อดไปสพู่ ระศาสดา ในครุ ดุ วาราทกุ แหง่ พระศาสดาครุ ุ ครนั ธ์ ซาอบิ จะไดร้ บั การอญั เชญิ
มาประทับในห้องโถงใหญ่ ซงึ่ ใช้เป็นสถานสวดภาวนาและประกอบกิจทางศาสนาประจ�ำวนั ในศาสนวนิ ัย
ของชาวซกิ ขร์ ะบวุ า่ ทใี่ ดซง่ึ มชี าวซกิ ขม์ ากกวา่ สองครอบครวั มาอยรู่ วมกนั ทน่ี นั้ ควรมสี ถานทเ่ี พอ่ื ประกอบ
กจิ กรรมทางศาสนารว่ มกนั แตศ่ าสนสถานนนั้ ไมม่ คี วามจำ� เปน็ ตอ้ งกอ่ สรา้ งในลกั ษณะถาวรถา้ ยงั ไมม่ ปี จั จยั
ในการสรา้ ง สามารถใชส้ ถานทใี่ ดกไ็ ดแ้ ตต่ อ้ งสะอาดและมที ปี่ ระดษิ ฐานของพระมหาคมั ภรี ท์ ส่ี มพระเกยี รติ
โดยสร้างเป็นบลั ลงั ค์หรือยกพน้ื สงู กวา่ ทีน่ ั่งเจรญิ ธรรม
นิกายส�ำคัญของศาสนาซิกข์ แยกออกเป็นนิกายใหญ่ๆ 2 นิกายด้วยกัน คือ นิกายนานักปันถี
และนิกายนิลิมเล นิกายนานักปันถี หมายถึง ผู้ปฏิบัติตามค�ำสอนของคุรุนานักซ่ึงเป็นคุรุองค์แรก ส่วน
นิกายนลิ ิมเล หมายถงึ นักพรตผปู้ ราศจากมลทนิ นบั ถือครุ โุ ควนิ ทสิงหซ์ ึ่งเปน็ คุรุองคส์ ดุ ทา้ ย
จากทไี่ ดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ จะพบวา่ ศาสนาสำ� คญั ทง้ั 5 มคี วามแตกตา่ งกนั ไปในรายละเอยี ด ทง้ั ความ
เป็นมา ความเชอื่ หลักค�ำสอน อยา่ งไรกด็ ีลกั ษณะสำ� คัญรว่ มกันของทงั้ 5 ศาสนามอี ยา่ งนอ้ ย 4 ประการ
(กรมการศาสนา, 2556: 15)
1. ศาสนาทัง้ 5 สอนในเรอื่ งความประพฤติทดี่ ีงาม
2. ความประพฤตทิ ด่ี งี ามทมี่ นษุ ยป์ ฏบิ ตั ใิ นโลกปจั จบุ นั จะสง่ ผลเกย่ี วกบั สถานะของมนษุ ยใ์ นภาวะ
เหนอื โลกธรรมดา
3. สง่ิ ท่มี นุษย์กระท�ำมีผลต่อชวี ิตของมนุษยใ์ นโลกปัจจุบันและโลกอนาคต
4. โลกปัจจบุ ันไม่ใช่ค�ำตอบสุดท้ายสำ� หรับชวี ติ
ในภาพรวมแล้วทั้ง 5 ศาสนาได้ช้ีให้เห็นว่าความดีจะน�ำไปสู่ประโยชน์สุข ดังที่ท่านพุทธทาสได้
กลา่ วว่า
“...โดยแทจ้ รงิ แลว้ ทกุ ศาสนา ไมไ่ ดม้ งุ่ หมายใหเ้ ปน็ ยาเสพตดิ ; แตต่ อ้ งการใหป้ ระชาชน ไดร้ จู้ กั ใช้
ประโยชน์ ในทางสังคมคือ ความเมตตารักใคร่ ในลกั ษณะทีว่ า่ สัตวท์ ง้ั หลายเป็นเพอ่ื น เกิด แก่ เจบ็ ตาย
ด้วยกันหมดทง้ั ส้นิ ...” (พทุ ธทาสภิกขุ, 2537: 6)