Page 57 - ไทยศึกษา
P. 57
สงั คมไทย ๕-47
๑. บ้านและเมืองในสังคมไทยสมัยจารีต
คำ� วา่ “บ้าน” และ “เมือง” เปน็ คำ� เกา่ แกใ่ นภาษาไทย มรี อ่ งรอยของคำ� มาตง้ั แตก่ อ่ นสมยั สโุ ขทยั
คำ� วา่ “บา้ น” หมายถงึ “หมบู่ า้ น” ถา้ เปน็ บา้ นแตล่ ะหลงั จะใชว้ า่ “เรอื น”13 สว่ นคำ� วา่ “เมอื ง” หมายถงึ
“สถานทอี่ นั เปน็ ทตี่ ้ังของอ�ำนาจการปกครอง” ข้อพนิ จิ ท่ีส�ำคญั มีอยวู่ ่า บา้ น และ เมือง เปน็ คำ� เก่าแก่ใน
ภาษาต่างๆ ของมนุษยชาติในแต่ละสังคม เพียงแต่ออกเสียงต่างกันไป และต่างก็เป็นสถาบันหลักในวิถี
ชีวิตของมนุษยชาติ การรวมตัวกันของ บ้าน และ เมือง เป็น บ้านเมือง นั้นยังผลให้เกิดสังคมใหญ่ท่ีมี
อ�ำนาจรฐั ในระดบั แว่นแควน้ หรืออาณาจกั ร
เมอื่ หนั มาพนิ จิ สงั คมไทยสมยั จารตี จากขอ้ มลู ตา่ งๆ ทมี่ อี ยทู่ ำ� ใหส้ รปุ ไดว้ า่ บา้ นหรอื หมบู่ า้ นมขี นาด
ไม่ใหญ่นัก ผู้คนในหมู่บ้านด�ำรงชีวิตในวิถีธรรมชาติ ท�ำเกษตรแบบพอยังชีพท่ีปลูกข้าวเป็นพืชหลักเพ่ือ
บรโิ ภคในครวั เรอื นและจา่ ยเปน็ อากรคา่ นาใหร้ ฐั มไิ ดผ้ ลติ เพอ่ื ขาย นอกจากนน้ั จะปลกู พชื ผลอน่ื ๆ ทำ� เครอื่ งมอื
เครือ่ งใช้ (เชน่ คราด เคยี ว ไถ จอบ เสยี ม) และหตั ถกรรมพ้ืนบ้าน (เช่น ผา้ ฝ้าย พาน บาตร เคร่ือง
จกั สาน) เพอ่ื ใชใ้ นชวี ติ ประจำ� วนั หากมเี หลอื จงึ จะนำ� ออกขาย หรอื แลกเปลยี่ นสง่ิ ของกบั หมบู่ า้ นอน่ื ดว้ ย
เหตุนี้ หมบู่ ้านแตล่ ะแหง่ จงึ มคี วามพอเพยี งในตนเองสูงพอควร สามารถพึ่งตนเองได้ในเกือบทกุ ดา้ น รวม
ทงั้ มกี ารเกาะเกยี่ วกนั หรอื ความเปน็ ชมุ ชนอยสู่ งู ตา่ งชว่ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ดว้ ยความสมานฉนั ท์ สว่ นการ
ขยายตวั ของหมบู่ า้ นนนั้ เมอื่ จำ� นวนคนในหมบู่ า้ นเพมิ่ มากขนึ้ สมาชกิ บางคนจะยา้ ยถนิ่ ฐานไปตงั้ หลกั แหลง่
ในท่ีดินเปิดใหม่ท่ีพวกเขาค้นพบ จากนั้นครอบครัวของพวกเขา ญาติพี่น้อง และสุดท้ายเพ่ือนบ้านจาก
หมู่บ้านแม่ก็ตามไปสมทบด้วย ชุมชนหมู่บ้านแห่งใหม่จะมีวิถีการผลิต-วิถีชีวิตเหมือนหมู่บ้านเก่า
ทุกประการ ตลอดจนมีวัดเป็นศูนย์กลางของกลุ่มหมู่บ้านที่อยูใ่ กล้กัน และร่วมกันสร้างวัฒนธรรรมชุมชน
ในท้องถิ่นของตน14
ขอ้ มลู เก่ยี วกบั เมือง นนั้ ในดินแดนประเทศไทยยุคโลหะตอนปลาย (ยคุ โลหะ ๕๐๐ ปกี อ่ น พ.ศ.
ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐) มีชุมชนเมืองกระจายอยู่ในหลายพ้ืนที่ และมีความสัมพันธ์กับอินเดียจากการ
บกุ เบกิ ของพวกพอ่ คา้ ซง่ึ ไดส้ านตอ่ มาถงึ การเขา้ มาของพวกนกั วชิ าการหรอื พวกพราหมณ์ และการเผยแพร่
อารยธรรมอินเดียหลากหลายด้าน ท่ีชุมชนเมืองได้น�ำมาดัดแปลงผสานให้เข้ากับวัฒนธรรมพ้ืนถิ่น แล้ว
พฒั นาตอ่ มาเปน็ บา้ นเมอื งหรอื แควน้ เลก็ ๆ เขา้ สสู่ มยั ประวตั ศิ าสตรเ์ มอื่ ประมาณ พ.ศ. ๑๐๐๐ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ ว
ไว้แล้วในเรอื่ งท่ี ๑.๒.๓
เมืองในสังคมไทยสมัยจารีตต้งั แต่สมยั อยธุ ยาเปน็ ตน้ มาทสี่ ำ� คญั ท่ีสดุ คอื เมืองหลวง ซึง่ มอี ำ� นาจ
รฐั มากทสี่ ดุ ตอ่ ดว้ ยเมอื งตา่ งๆ ตามระยะทางใกลไ้ กล ซงึ่ จดั ระดบั ตามขนาดพน้ื ทแ่ี ละความสำ� คญั เปน็ เมอื ง
เอก เมืองโท เมืองตรี และเมืองจัตวา ส่วนการบริหารปกครองนั้นผ่านระบบราชการที่มีระบบไพร่เป็น
13 ตอ่ มาในสมยั หลงั เมอ่ื นำ� คำ� วา่ “บา้ น” ไปใชค้ กู่ บั คำ� วา่ “เรอื น” ในความหมายวา่ บา้ นแตล่ ะหลงั แลว้ (บา้ นเรอื น) เมอ่ื
จะกล่าวถึงบ้านต่างๆ ในชุมชน จึงต้องเพิ่มเติมค�ำเป็น “หมู่บ้าน” ในปัจจุบันค�ำว่า “บ้าน” หากเทียบกับภาษาอังกฤษจะตรงกับ
คำ� วา่ “hou1s4e”สรแุปลจะาคก�ำวฉา่ ตั “รเทรอืพิ นย”์. ตรงกบั คำ� ว่า “home”
นาถสภุ า. (๒๕๒๙). น. ๓๔, ๖๑, ๘๓ - ๘๔ และศุภรตั น์ เลิศพาณิชยก์ ลุ . (๒๕๔๔). น. ๑๗, ๑๘,
๔๗.