Page 54 - วิถีไทย
P. 54
2-44 วถิ ไี ทย
แมว้ า่ ยคุ อาณานคิ ม (กรณเี อเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต)้ และรฐั สมบรู ณาญาสทิ ธริ าช (ในกรณสี ยาม)
จะสนิ้ สดุ ไปโดยการปฏวิ ตั เิ ปลยี่ นแปลงการปกครอง แตโ่ ครงสรา้ งทางการเมอื งการปกครอง วฒั นธรรมวธิ คี ดิ
ตลอดจนรูปแบบรัฐท่ีมีเส้นพรมแดนของชาติ ก็ยังคงเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลบทบาทสืบต่อมาในยุครัฐชาติ
(Nation-state) อันท่ีจริงความเป็นชาติที่กลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้กับรัฐชาติในภายหลังน้ัน ล้วนแต่มี
จุดกำ� เนดิ หรอื ถูกกระตนุ้ เรา้ ใหเ้ กิดข้ึนโดยลัทธิอาณานิคม68
สภาพความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมท่ีเคยเป็นมาก่อนหน้าน้ัน แม้จะยังคงเป็นมรดก
ตกทอดสบื มาจนถงึ ยุครฐั ชาติ แต่แนวคดิ ของชนชนั้ นำ� ทมี่ ุง่ เนน้ ความเปน็ ชาตเิ พียงหน่ึงเดียว ละเลยกลมุ่
ชาตพิ นั ธ์ุ กก็ ลายเปน็ อปุ สรรคขดั ขวางการพฒั นา เพราะมองไมเ่ หน็ “คนอน่ื ” ทอี่ ยใู่ นดนิ แดนเดยี วกนั กบั ตน69
รวมถึงไมเ่ หน็ ประวตั ิศาสตรท์ ตี่ ่างไปจากส่วนกลาง ประวัตศิ าสตรไ์ ทยกลายเป็นประวัติศาสตรพ์ ฒั นาการ
ของเฉพาะภาคกลางและลมุ่ แมน่ ำ้� เจา้ พระยา ไมน่ บั รวมลา้ นนา อสี าน เมอื งทา่ ตะวนั ออก ปตั ตานี เปน็ ตน้
ใน พ.ศ. 2482 รฐั บาลภายใตก้ ารน�ำของนายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม (หรือจอมพล ป. พิบลู -
สงคราม ในเวลาต่อมา) ไดป้ ระกาศรัฐนิยมฉบบั ที่ 1 เรอ่ื งการเปลย่ี นชอื่ ประเทศ ประชาชน และสัญชาติ
ลงวนั ที่ 24 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2482 ยงั ผลใหเ้ กดิ การเปลยี่ นชอ่ื ประเทศจาก “สยาม” มาเปน็ “ประเทศไทย”
แมว้ า่ รฐั บาลจะไดพ้ ยายามใหค้ ำ� วา่ “ไทย” ใชแ้ ทนทค่ี ำ� วา่ “สยาม” ในลกั ษณะเหมารวม โดยประกาศเปน็
รฐั นยิ มอกี ฉบบั คอื ฉบบั ท่ี 3 เรอื่ งการเรยี กคนในประเทศวา่ “คนไทย” แมม้ เี ชอ้ื สายอน่ื กใ็ หถ้ อื วา่ มสี ญั ชาตไิ ทย
มใิ หแ้ บง่ แยก เปน็ ความตอ่ เนอื่ งจากรฐั นยิ มแบบแรก นนั่ คอื การเรยี กชอ่ื วา่ “ไทยเหนอื ไทยอสี าน ไทยใต้
ไทยอิสลาม” ให้เรยี กว่า “ไทย” โดยรวมเพอื่ ขจดั ความแตกตา่ ง ซงึ่ กำ� หนดใหเ้ ลิกเรยี กชอ่ื ชาวไทยโดยใช้
ชอ่ื ไมต่ อ้ งตามเชอ้ื ชาติ และนยิ มของผเู้ รยี ก แตใ่ หใ้ ชค้ ำ� วา่ “ไทย” แกช่ าวไทยทงั้ มวลโดยไมแ่ บง่ แยก ทง้ั นี้
รฐั บาลมงุ่ หมายเพอื่ สง่ เสรมิ ความเปน็ ปกึ แผน่ ดนิ มนั่ คงของประเทศและความกลมเกลยี วสามคั คเี ปน็ อนั หนงึ่
อันเดยี วกันของชาติไทยท่วั ทุกภาคของประเทศ
แต่ความเข้าใจของประชาชนตลอดจนถึงนักวิชาการปัญญาชน ต่างก็มุ่งประเด็นเร่ืองเช้ือชาติ
(Racism) ไปแลว้ ทำ� ใหค้ ำ� วา่ “ไทย” มคี วามหมายแทนทค่ี ำ� วา่ “ไท” หรอื “ไต” ในฐานะชอ่ื กลมุ่ ชาตพิ นั ธ์ุ
หนึ่ง ย่ิงเม่ือไม่นานหลังจากน้ัน รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ใช้นโยบายแผนรวมเผ่าไท (Pan
Thai-ism) ท�ำสงครามอินโดจีน โดยมีหลวงวิจิตรวาทการ พระยาอนุมานราชธน และคนอื่นๆ ท่ีเป็น
นักชาตนิ ิยมสมยั น้นั ต่างให้การสนับสนุนทางความคิดทฤษฎี ย่ิงท�ำให้ความหมายของค�ำว่า “ไทย” และ
“ประเทศไทย” มุง่ ไปในทางเชอ้ื ชาตไิ ทย ไมเ่ หมอื นค�ำวา่ “สยาม” ทีห่ มายถงึ ดนิ แดนหรอื เขตแดนภาย
ใต้พระบรมโพธสิ มภาร รฐั ไทยกลายเป็นรัฐท่ยี อมรับความเป็นอ่นื ทางชาตพิ นั ธุ์ ทน่ี อกเหนอื ไปกว่าความ
เปน็ ไทยไมไ่ ด้
อย่างไรกต็ าม สงั คมไทยเป็นสังคมพหชุ าตพิ นั ธร์ุ ้อยพ่อพนั ธแุ์ ม่ แม้วา่ อาจไมเ่ ปน็ ทีย่ อมรับกนั นัก
ก็ตาม ความหลากหลายทางสังคมวัฒนธรรมนั้นมีที่มาจากการมีคนกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อยู่ร่วมกัน สิทธิ
ของกลมุ่ ชาตพิ นั ธห์ุ รอื สทิ ธชิ มุ ชนเปน็ ประเดน็ สำ� คญั ของสงั คมไทยและโลก นบั แตย่ คุ ทเ่ี คลอ่ื นเขา้ สสู่ มยั ใหม่
68 Bastin, John S. & Benda, Harry J. (1968). A History of Modern Southeast Asia: Colonialism,
Nationalism, and Decolonization. Englewood Cliffs, N.J.: Prentice-Hall.
69 Winichakul. Thongchai. op.cit. pp. 38-62.