Page 36 - ทฤษฎีและการวิจารณ์ภาพยนตร์
P. 36
1-26 ทฤษฎีและการวจิ ารณ์ภาพยนตร์
เร่ืองที่ 1.2.1
แนวคิดเก่ียวกับสุนทรียศาสตร์ของภาพยนตร์
ทฤษฎที างสนุ ทรยี ศาสตรภ์ าพยนตรย์ คุ แรก (กอ่ นทศวรรษที่ 60) แบง่ ออกเปน็ 2 แนวคดิ ใหญ่ ๆ
คือรูปแบบนิยม (Formalism) และสัจนิยม (Realism) ซึ่งทั้งสองแนวคิดน้ีต่างก็ตั้งข้อสังเกตตรงกันว่า
ภาพยนตร์เป็นศิลปะที่มีพลงั ในการน�ำเสนอภาพชวี ิต ผูค้ น สถานท่ี สง่ิ ของได้อย่างเท่ียงตรงตอ่ ความเป็น
จริงมากท่ีสดุ
อย่างไรก็ดี นักทฤษฎี formalist (เช่น Hugo Munsterberg, Seigei Eisenstein และ Rudolf
Arnheim) โต้แย้งว่าภาพยนตร์ท่ีไม่ได้ท�ำหน้าที่อันใดมากไปกว่าการบันทึกภาพความจริง ย่อมมิอาจ
เรยี กไดว้ า่ เปน็ งานศลิ ปะ ภาพยนตรท์ จ่ี ะถอื ไดว้ า่ เปน็ ศลิ ปะนนั้ จะตอ้ งทำ� หนา้ ทมี่ ากกวา่ เปน็ แคเ่ ครอ่ื งจกั ร
ท่ีบันทึกภาพได้เท่านั้น ดังนั้น ภาพยนตร์จึงไม่ควรที่จะ “เลียนแบบ” ความจริง แต่ควรท่ีจะสร้างสรรค์
เปลี่ยนแปลง หรือเสริมแต่งให้ได้ “ภาพความจริง” ท่ีต่างออกไปจากธรรมชาติหรือความเป็นจริงที่เรา
พบเห็นกันทุกเมื่อเช่ือวัน ในที่นี้ ภาพท่ีบันทึกลงบนแผ่นฟิล์มจึงเป็นวัตถุดิบส�ำหรับการสร้างงานศิลปะ
และงานศลิ ปะกเ็ กดิ ขน้ึ จากการใชเ้ ทคนคิ ทางภาพยนตรบ์ นั ทกึ ภาพและนำ� ภาพเหลา่ นม้ี าเรยี งรอ้ ยเขา้ ดว้ ยกนั
อารน์ ไฮม์ (Arnheim) กลา่ ววา่ สนุ ทรยี ศาสตรข์ องภาพยนตรน์ น้ั หาใชก่ ารจำ� ลองธรรมชาตเิ ชน่ พพิ ธิ ภณั ฑ์
ห่นุ ข้ีผง้ึ ไม่ (Arnheim, 1992, pp. 48-51)
ส�ำหรับแนวคิดรูปแบบนิยมเชื่อว่าแม้ว่าศิลปะมีต้นก�ำเนิดมาจากธรรมชาติ แต่ก็เป็นผลผลิต
ของศิลปนิ ที่ถา่ ยทอดความรู้สึกส่วนตัวออกมาผา่ นทางเคร่ืองมือตา่ งๆ เช่น เทคนคิ ด้านการตดั ตอ่ กล้อง
เสียง และการจัดองค์ประกอบภาพ (mise-en-scene) ซ่ึงเครื่องมือท่ีเป็นหัวใจส�ำคัญในยุคแรกน้ีก็คือ
การตดั ตอ่ เพราะวา่ การตดั ตอ่ นนั้ ท�ำใหพ้ นื้ ทแี่ ละเวลาในภาพยนตรแ์ ตกตา่ งออกไปจากทป่ี รากฏในโลกของ
ความเป็นจริง หรือท่เี รียกว่ามีความเป็น “cinematic” อันเป็นส่ิงทีแ่ สดงว่าภาพยนตร์คือศลิ ปะแขนงหนง่ึ
ทม่ี รี ปู แบบโดดเดน่ ไมแ่ พ้ศลิ ปะแขนงอ่ืน
ดงั นนั้ เมอื่ ภาพเขยี นสรา้ งความเปน็ ศลิ ปะผา่ นลายเสน้ สี และพน้ื ผวิ บทเพลงสอื่ ความเปน็ ศลิ ปะ
ด้วยท่วงท�ำนองและความผสานกลมกลืนของเสียงเคร่ืองดนตรี และละครสืบสานบอกเล่าความเป็นศิลปะ
ผ่านถ้อยค�ำเจรจาและการแสดง ภาพยนตร์ก็ส�ำแดงความเป็นศิลปะด้วยภาษาและเทคนิคทางภาพยนตร์
อันเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะตวั ท่ีแตกตา่ งออกไปจากภาพเขยี น เพลง หรอื ละครเวที ดังจะเหน็ ไดจ้ ากผลงาน
ของเมลิเอส์ (Georges Méliès) ท่ีแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของภาพยนตร์ท่ีอยู่เหนือพ้ืนที่และกาลเวลา
จนสามารถทจ่ี ะบิดเบอื นและควบคมุ “ความจรงิ ” ที่ปรากฏบนจอภาพยนตร์ได้
ส่วนนักทฤษฎีแนวสัจนิยม เช่น ซิกฟรีด คราเคาเออร์ (Siegfried Kracauer) มีความเห็นว่า
คณุ สมบตั ทิ สี่ ำ� คญั ของภาพยนตรค์ อื การบนั ทกึ ภาพ ดงั นนั้ ภาพยนตรจ์ งึ ควรจะเปน็ เพยี งสอื่ กลางทน่ี ำ� เสนอ
“ความจริง” เท่านั้น โดยมิควรปรุงแต่งหรือพยายามบิดเบือนหรือแทรกแซง (Kracauer, 1992,
pp. 9-20) กล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ ควรท�ำหน้าที่เป็นเสมือน “หน้าต่างท่ีเปิดสู่โลกกว้าง” เช่นเดียวกับท่ี